ขี่รถเที่ยวไป ทำงานรีโมทไป ในต่างแคว้น แดนภารตะ มะนาลี

แชร์บน

ขี่รถเที่ยวไป ทำงานรีโมทไป ในต่างแคว้น แดนภารตะ มะนาลี

สวัสดีกันอีกรอบครับ

ทริปนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์ การเดินทางท่องเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์ในต่างแดน แต่ครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ท่องเที่ยวเท่านั้น ยังแอบพ่วงการไปลองนั่งทำงาน บบ Work From Anywhere ที่ต่างแดนด้วย

เป้าหมาย ปลายทางของเราคือ เมืองมะนาลี ประเทศอินเดียครับ ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ

หลังจากผ่าน วิกฤติการณ์ Covid 19 ที่ทำให้บริษัททั่วโลก จำเป็นต้องปรับตัวเป็น Work From Home( WFH ) หรือ Work From Anywhere (WFA) ทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปทำงานยังจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยเนืองๆ แต่คราวนี้ ขอลองเปลี่ยนบรรยากาศเป็นต่างแดนบ้าง ว่าจะเป็นอย่างไร อยากลองว่า Feeling การเป็น Digital Nomad มันเป็นอย่างไร

เป้าหมายปลายทางในครั้งนี้ คือ เมืองมะนาลี  ประเทศอินเดีย เหตุผลน่ะหรอ เรื่อง ราคาที่ถูก Timezone ที่ต่างกับประเทศไทยแค่ 1:30 ชั่วโมง  และเรื่องวิวทิวทัศน์ที่อลังการของเทือกเขาหิมาลัย  รวมถึงอากาศในช่วงปลายเดือนเมษายนที่กำลังหนาวๆ เย็นๆ ไม่โหดร้ายเกินไปนัก

การวางแผน ก่อนอื่นเลยคือวางแผน  จำนวนคน : 2 คน  ระยะเวลา : 2-3 อาทิตย์  งบ : ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อคน  ช่วงเวลา : ปลายเมษา – ต้นพฤษภา ช่วงคาบเกี่ยว สงกรานต์และวันแรงงาน จะได้มีวันหยุดไว้ให้เที่ยวด้วย ตั๋วเครื่องบิน : บินตรง รอบดึก ถึงเช้า

พาหนะการเดินทาง  เราแพลนว่า จะเช่า มอเตอร์ไซค์จาก Delhi ไปเลย เพราะไม่อยากนั่งรถสาธารณะร่วมกับคนอื่น (แอบกลัวโควิด และความแออัดของรถสาธารณะอินเดีย ) เลยกลั้นใจเช่ารถไปจาก Delhi เลย แพงกว่าไปเช่าที่ปลายทางพอสมควร แต่ก็ซื้อความสะดวก สบายใจ   ให้ร้านเช่ามอไซค์เอารถมาส่งและรับที่สนามบินได้เลย สะดวกดี  สนนราคา 21 วันก็แปดพันกว่าบาท  

ป.ล. สุดท้ายผมไม่ได้ไป 21 วันเนื่องจากติดภารกิจฉุกเฉิน เหลือเพียงแค่ 15 วันเท่านั้น สนนราคาก็ลดลงมาตามสัดส่วน  เหลือแค่ 6 พันกว่าบาท

เส้นทาง : ในเรื่องของเส้นทางการเดินทาง ทริปนี้เน้น พักอยู่ที่มะนาลี เพื่อทำงาน เราจะไปเที่ยวช่วงเย็น หลังเลิกงาน เอา

Day 1 Delhi – Ambala

เอาหล่ะครับ ออกเดินทางกันเลยยย หลังจากขึ้นเครื่องบินแล้ว เครื่องถึงประมาณ ตี สองกว่าๆ กว่าจะหลุดด่าน ตม ก็ตี 3 กว่าๆ แต่กว่าทางบริษัทรถจะนำรถมาส่ง ก็ 11 โมงนู่น เอาเป็นว่าต้องหานอนในสนามบิน อินทิรา คานธี เกือบๆ 7 ชั่วโมง จนกระทั่งเที่ยงๆ เราก็ได้รถ Royal Enfield Bullet 350 มา จัดของอยู่ 1 ชั่วโมง  ฝ่ารถติดออกจาก Delhi อีก 2 ชั่วโมง กับอุณหภูมิ เกือบ 40 องศา แถมฝุ่นยังเยอะและอากาศก็แย่พอตัวเลย ตอนนั้นไม่มีกระจิตกระใจจะถ่ายรูปอะไรเลยครับ พอพ้นเขตเมืองมาปุ๊บ โอ้วว เหมือนสวรรค์เลย แต่ตอนนี้ไม่สนอะไรแล้ว โกยเพื่อให้ถึงโรงแรมอย่างเดียวเลย  เส้นทางสู่ Ambala  คือ ถนน 4 เลน ตรงๆ ยาวๆ สาย NH44

เราก็มาถึงที่พักของเราที่เมือง Ambala  เราเลือกโรงแรมเอาดาบหน้า ขี่รถมา search หาโรงแรมไปพลางๆ ด้วย วันนี้ขอนอนแบบดีๆ หน่อย เพราะเหนื่อยมาก เราได้ที่พักที่โรงแรม Hotel Golden Orchid https://goo.gl/maps/u7GFfpSJ9e3A37dM8  ราคาก็คืนละ 1,200 บาท อยู่กลางๆเมือง Ambala เลย

Day 2 : Ambala – Manali  เส้นทางของเราในวันนี้ ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร โดย 200 กม แรกจะเป็นทางตรงธรรมดาๆ แต่ 100 กม หลัง เราจะเริ่มไต่ เทือกเขาหิมาลัยกัน มาถึง ประตูทางขึ้น หิมาลัย

ช่วงแรกๆ ที่ความสูงยังไม่พ้น 500 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศยังร้อนอบอ้าวอยู่ อุณหภูมิแถวๆ 30 องศา

เมื่อพ้นความสูง 700-800 เมตร ขึ้นมา อากาศเริ่มเย็นขึ้น แถวๆ 25 องศา เราเริ่มขี่รถสบายๆ ขึ้น

หลังจากเราผ่านเมือง Mandi และรอดอุโมงค์ AUT Tunnel เราเหมือนอยู่คนละโลก บรรยากาศด้านหน้าอุโมงค์ คือ อินเดียทั่วๆไปที่เรารู้จัก
หลังจากรอด AUT Tunnel ออกมา บรรยากาศคือเมืองตากอากาศ ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 แล้ว จุดนี้เราเริ่มเห็นภูเขาที่เริ่มมีหิมะอยู่บนยอดนิดๆ หน่อยๆ แล้ว

Manali
และเราก็มาถึงมะนาลี มะนาลีเป็นเมืองอยู่บนเขาความสูงประมาณ 2000 เมตร ดังนั้นอากาศจึงค่อนข้างเย็นถึงหนาวตลอดปี บรรยากาศของเมืองแตกต่างจากเมืองบนภูเขาหิมาลัยทั่วๆไป ที่ออกแนว แห้งๆ แล้งๆ ที่นี่จะห้อมล้อมด้วยป่าสน ลองจินตนาการถึง หนัง แวมไพร์ทไวไลท์

Co Workspace
อย่างที่กล่าวในข้างต้นครับ ว่าเป้าหมายในครั้งนี้ของการเดินทางมา เมืองมะนาลี นั้นคือ เพื่อมาลองทำงานแบบรีโมทยังต่างประเทศดู ดังนั้น ส่วนสำคัญที่เราต้องหาให้ได้คือ

Co Workspace Hostel
ต้องบอกก่อน ว่าที่ มะนาลี เป็นสถานที่ ที่ผู้คน ( อินเดีย ) นิยมมา WFA กันที่นี่พอสมควร ทำให้โรงแรมต่างๆ มี Facility ที่สนับสนุนการทำงานทางไกลพอสมควรไม่ว่า Internet  ความเร็วสูง , Wifi ,  ห้องและโต๊ะทำงาน  และมีหลากหลายราคา ตั้งแต่ถูกๆ เลย คืนละ 400 บาท ไปจนกระทั่งคืนละ 1,200-1,500 บาทเลยทีเดียว ถ้าแบบหรูๆหน่อย

เอาจริงๆ ด้วยบรรยากาศของเมืองมะนาลี ที่อากาศเย็นตลอดปี  และกำลังดีในช่วงฤดูร้อน เราสามารถหา Hostel ที่ถูกมากๆ  ราคาแค่คืนละร้อยกว่าบาทได้ แต่มี Facilities เพียงพอต่อการทำงาน แค่นี้ ก็สามารถสิงอยู่ที่มะนาลีได้เป็นเดือนๆ  ด้วยงบประมาณหลักพัน

แต่ทริปนี้ เราเน้นความสบายครับ ขอจัดเต็มหน่อย ราคาโดยเฉลี่ยที่เราพักคือ ประมาณคืนละ 900-1000 บาทครับ

อ้อ เมือง มะนาลี แบ่ง Zone ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนเมืองใหม่ และอีกส่วน คือ เมืองเก่า หรือ Old Manali ซึ่งชีวิตส่วนใหญ่ ของคนที่รักความสงบ จะเหมาะกับ Old Manali ครับ … ผมก็เช่นกัน

Day 2-3 : Young Monk Hostel
Hostel แรกที่เราพัก ชื่อว่า Young Monk เราพักที่นี่เพราะราคาถูก ( 400 บาทไทย ) และ Rate การรีวิวดีมาก

Co Working Space

อยู่ในระดับดี แต่นั่งทำงานที่ห้องส่วนตัวลำบากไปนิด เพราะไม่มีชุดโต๊ะเก้าอี้ให้ เข้าใจว่า เน้น ให้มาปาร์ตี้ ตรง Co Working Space กัน ป.ล. นักทำงานแนว Remote หรือ Digital Nomad ส่วนใหญ่ ที่มาพัก จะออกแนว ฮิปปี้ๆ หน่อยๆ เลิกงาน แล้วชอบสังสรรค์ คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกัน

เราทำงานอยู่ที่นี่ วันนึง แล้วรู้สึกว่า ยังไม่ค่อยโดนเท่าไร เลยออกตระเวนหาโรงแรมแห่งใหม่ ที่น่าจะทำงานได้จากในห้องส่วนตัว และสะดวกสบายกว่านี้

Day3-6 : Manali – White Forest

เราขี่รถออกสำรวจ Location และมาเจอโรงแรมนึงในซอกหลีบ ดูทรงแล้ว น่าจะพออยู่ได้ นั่งทำงานในห้องสะดวก ราคาก็พอได้ คือ วันละ 1000 บาท ( เลือกห้องที่แพงที่สุดของ Hostel แล้ว )  มี Co Working Space อยู่บนดาดฟ้า สามารถเปลี่ยนบรรยากาศไปได้เรื่อยๆ และเพลิดเพลินกับ
อากาศ 5-15 องศา ตลอดช่วงเวลากลางวัน เอาเข้าจริง อยู่ที่ดาดฟ้าไม่ค่อยไหว เพราะหนาวเกินไป

Day7-10 ออกเที่ยว
เอาหล่ะ ทำงานมาเกือบอาทิตย์ ขี่มอไซค์เที่ยวบ้างละกันครับ พอดี ข้างๆ โรงแรมมีร้านเช่า มอเตอร์ไซค์ อยากขี่ Suzuki Burgman Street 125 เลยไปเช่ามาขี่เที่ยวดูสัก 2 วัน สนนราคาตกวันละ 600 บาท ( แพงกว่า Royal Endfield อีกนะ เพราะเป็นรถใหม่วิ่งมาร้อยกว่ากิโลเมตรเอง )

แผนการเดินทางของเราในวันนี้ เป้าหมายเราคือ Rohtang Pass แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เพราะว่า ทางหลวงยังไม่เปิดให้ใช้ เพราะสภาพเส้นทางยังคงปกคลุมด้วยหิมะ น่าจะต้องรอกลางเดือน พฤษภาคม ถึงจะเปิดให้บริการได้ เศร้ากันไป

ระหว่างทาง แวะร้านอาหาร และ ทานกาแฟหน่อย มะนาลีเป็นเมืองท่องเที่ยว คล้ายๆ เชียงใหม่บ้านเรา นักท่องเที่ยวและร้านกาแฟ มีอยู่ทุกหัวระแหง

ไม่เป็นไร ไปไม่ถึงยอด เสพอะไรข้างๆ ทางไป เรื่อยๆ ก็พอใจแล้ว

แวะจอดถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อยๆครับ จริงๆ อากาศหนาวมากนะ  แต่ผมถอดเสื้อหนาวออกเพราะอยากได้สีเสื้อแดงๆ ของเสื้อยืด 55

เราเริ่มไต่ความสูงขึ้นเรื่อยๆ มาถึงด่านที่ต้องจอด เพราะทางปิด เห็นมีม้า ที่พาขึ้นไปแตะหิมะ เลยลองนั่งดู
โอ้โห อย่างเสียว ม้าไม่ได้เดินตามถนนนะ
ไต่ขอบเขาขึ้นมา
หัวใจจะวายตาย

สุดสายปลายทางที่ลานสิมะ ได้เวลาเดินทางลงแล้ว

เอาหล่ะ จบการเดินทางวันนี้ ในวันถัดไปเรามาเดินทางกันต่อ วันนี้ปลายทางของเราคือเมือง SISSUE เนื่องจากเราไม่สามารถขึ้นหิมาลัย ด้วยเส้นทางสายเก่า Rohtang Pass ( ใน Map จะเห็นถนนยึกยือๆ ด้านขวา ทางตรงยาวๆ ) ได้เนื่องจากสภาพเส้นทางยังเต็มไปด้วยหิมะ แต่เรามีเส้นทางวิเศษที่สามารถไต่จากระดับน้ำทะเล  2000 กว่าเมตร ขึ้นระดับ 3,000 กว่าเมตรได้เลย ด้วยอุโมงค์นามว่า Atal Tunnel ซึ่งมีความมีความยาว 9 กิโลเมตร นับเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในโลกที่อยู่บนที่สูงกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล

พอโผล่ปากทาง Atal Tunnel ก็เจอวิวแบบนี้เลย ในอุโมงค์ค่อนข้างมีบรรยากาศที่อึดอัด จากควันรถ ขอจิบชาหน่อย

หลังจากพักที่ปากอุโมงค์ เราเดินทางกันต่อ วิวสองข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ ขี่ไป ชมวิวไป เพลินดี แต่มือจะแตก เพราะหนาวจัด อุณหภูมิ 0 องศา ถึง ติดลบนิดหน่อยครับ

ในที่สุดเราก็มาถึงเมือง SISSU รีบหาที่พักก่อนเลย โรงแรมแรก เต็มจ้า

ในที่สุดก็ได้โรงแรมข้างๆ นามว่า Hobknob เราต้องการได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด ( จริงๆ กลัวหนาวตาย ) เลยขอห้องที่แพงที่สุด มูลค่า 1,200 บาทต่อคืน

แต่เอาจริงๆ ที่เลือกห้องแพงสุดเพราะอยากได้สิ่งนี้ อยากนั่งถ่าย โดยมองภูเขาหิมะไปด้วย 555 มองยันพระอาทิตย์ตก

มื้อเช้า เลือกออกมาฝากท้องกับร้านอาหารข้างทาง นั่งแบบ Open ข้อดีคือ บรรยากาศดี ข้อเสียคือ หนาวจ๊าดดด

นั่งปั่นงานยามเช้า กันอีกหน่อย เพลาเที่ยงๆ ถึงเวลาต้องบอกลาเมือง SISSU กันแล้ว เอาจริงๆ ผมชอบเมืองนี้พอควรเลย เสียดายที่มีเวลาที่นี่น้อยไปนิด แต่มันต้องเดินทางต่อแล้ว

ออกเดินทางกันต่อ บนเส้นทาง SISSU – DARCHA วิวข้างทางยังคงสวยงามตามท้องเรื่องเหมือนเดิม เอาจริงๆ ปลายทาง เราอยากขี่ไปให้ถึงเมือง LEH เลย
แต่ว่า ถนนมันปิด เพราะหิมะยังหนาอยู่ ทำให้เราไปได้แค่ DARCHA เท่านั้น … เศร้าเลย

และเราก็เดินทางมาถึงเมือง KEYLONG

ขอแวะกินข้าวและดื่มกาแฟหน่อย หนาวเหลือเกิน

เราจบเส้นทางที่กะว่าจะเดินทางไปให้ถึงเขต LADAKH กันที่นี่ครับเพราะว่า เส้นทางยังไม่เปิด ไม่สามารถไปต่อได้เอาจริงๆ เรารู้อยู่แล้วหล่ะ ว่าไปต่อไม่ได้ ไม่งั้นกะว่าจะไปนั่งทำงานที่ เมือง LEH ต่อสักหน่อย เราเลยต้องย้อนกลับครับ

ขากลับ กว่าจะถึงเมือง Manali ก็ขี่กันหูตูบเลยหล่ะ ฝนตกเลยถ่ายรูปไม่ได้ หนาวแบบอธิบายไม่ได้เลยหล่ะ แต่ในที่สุด เราก็เดินทางลงมาจากความสูงประมาณ 3,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล สู่เมืองมะนาลี ที่ระดับ 2,000 เมตร ได้อย่างปลอดภัย เป็นอันจบ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์  จันทร์ แห่งการขี่รถเล่น กลับมาทำงานกันต่อที่เมืองมะนาลี

เอาหล่ะครับ ถึงเวลาจากลากันแล้ว จากนี้ก็โกยกลับ Delhi ระยะทางกว่า 500 กม   ใช้เวลาไปเกือบ 15 ชั่วโมง เพราะดินถล่มทับทาง ทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทาง และยังเป็นไข้จากการติด Covid จากคนอินเดียอีก เรียกได้ว่า แทบตาย

ขออภัยที่ต้องจบห้วนๆ ไปนิด เนื่องจากทางกติกาของที่ร่วมสนุกต้องเขียนกระทู้เสร็จภายในวันที่ 15 กันยาหวังว่า กระทู้นี้จะเป็นประโยชน์และสร้างความบันเทิงให้เพื่อนๆ ชาว Pantip ไม่มากก็น้อยนะครับ คราวนี้ขอลาไปก่อน คราวหน้าจะพาเที่ยวและทำงานด้วยรถสองล้อใหม่อีกครั้งนะครับ

By : เตี้ย ล่ำ ดำ แก่