สำรวจเส้นทาง ภูหลงถัง ดอยผาตั้ง มอบสิ่งของช่วยเหลือน้ำท่วมเชียงราย Zontes 350E
จากแผนเดิม จะเป็นการเดินทางไปสำรวจเส้นทางลาดชันขึ้น ภูหลงถัง สระมังกร ที่ว่ากันว่ามีความชันเป็นอันดับต้นๆของทางหลวงในประเทศไทย และไปสำรวจเส้นทางไปดอยผาตั้ง ดอยสูงที่เป็นพรมแดนระหว่าง ราชอาณาจักรไทย และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เท่านั้น
แต่ด้วยเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ที่แม่สายและเชียงราย ภารกิจเพิ่มเติมจึงเป็นการขึ้นไปมอบสิ่งของจำเป็นเร่งด่วนให้แก่หน่วยงานแนวหน้าอย่างมูลนิธิกระจกเงา เพื่อสนับสนุนอาสาสมัครที่ไปช่วยล้างบ้านให้ผู้ประสบอุทกภัย ด้วยน้ำยาล้างตาจำนวนหนึ่ง
การเดินทางไปกลับ ด้วยระยะเวลา 3 วัน 2 คืน จาก กรุงเทพ – เชียงราย – ภูหลงถัง – ดอยผาตั้ง – กรุงเทพ ด้วยระยะทางกว่า 1,700 กิโลเมตร จึงเป็นอีกหนึ่งบันทึกการเดินทางใน ทริปนี้
วันแรกของการเดินทาง ตอนแรกตั้งใจออกบ้านสักแปดโมงเช้า วุ่นวายไปมากว่าจะได้ออกบ้านก็ประมาณสิบโมงเช้า รูดออกจากบางใหญ่ยาวๆไปทางถนนวงแหวนออกถนนเอเซีย แวะกินข้าว(รวบเช้าและเที่ยง) ถึงนครสวรรค์ฟ้าก็เริ่มครึ้มๆ แวะกินกาแฟแถวพิจิตร ลากยาวผ่านพิษณุโลก ไปเจอฝนจริงจังบนเขาพลึง ผ่านอุตรดิตถ์ แพร่ ตัดข้ามเขาที่อำเภอสองมาลงพะเยา และจบวันที่ปลายทางจังหวัดเชียงรายประมาณทุ่มกว่าๆ
ภาพนี้ที่วัดร่องขุ่นประมาณทุ่มนึงครับ ทั้งใกล้หน้าหนาวทั้งมีฝนมายาวๆ มืดค่อนข้างไวเลย
วันที่สอง
ตื่นสายหน่อย เพราะเมื่อวานลากยาวมาม้วนเดียวแบบทำเวลา ยอมรับว่ากินพลังสมาธิไปไม่น้อยเลย พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายอ่อนแอแล้วต้องมาขี่ตากลมตากฝนเดี๋ยวจะไม่สบายแล้วมันจะขี่รถลำบาก เช็คเอาท์ออกโรงแรมมา แถวๆถนนกลางเวียง เราก็เห็นร่องรอยความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ได้ทั่วไป ถ่ายมาไม่น้อย แต่ขอลงนิดเดียวก็แล้วกัน บอกตรงๆว่าเห็นแล้วมันหดหู่
เข้าไปติดต่อที่ศูนย์อาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงา หอประชุมกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย ได้รับข้อมูลว่าปัญหาล่าสุดหน้างานตอนนี้คือเมื่อดินโคลนเริ่มแห้ง สิ่งที่อาสาสมัครล้างบ้านตรงเผชิญคือฝุ่นดินที่เกิดขึ้นจากโคลนมหาศาล และเป็นอุปสรรคในการทำงานอย่างมาก สิ่งที่ขาดแคลนและต้องการเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนในเวลานั้นคือ “น้ำยาล้างตา”
ได้เลยครับ ผมที่ขี่รถถือเงินจำนวนหนึ่งจาก Zontes Thailand ขึ้นมาเพื่อการนี้จึงรับไปดำเนินการ จัดการไปเหมาน้ำยาล้างตามาจำนวนหนึ่งจากร้านขายยาในตัวเมืองเชียงราย ซึ่งก็ต้องรอของกันหลายชั่วโมง เพราะเราต้องการจำนวนไม่น้อย และเริ่มเป็นที่ขาดแคลนหน้าร้านแล้วเช่นกัน ในจำนวนที่จัดหามาได้ตามงบนั้น จะเอาเจ้า 350E ขนไปก็ไม่สามารถบรรทุกได้เพียงพอ ร้านขายยาจึงอาสาจะช่วยนำไปส่งให้ที่ศูนย์ฯ (แถมยังลดราคาให้เป็นพิเศษ) นี่แหละครับน้ำใจ ^^ จากนั้นประมาณบ่ายสามกว่าๆ เราได้ส่งมอบน้ำยาล้างตาให้กับศูนย์อาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงา เพื่อนำไปใช้สนับสนุนอาสาสมัครล้างบ้านต่อไป
อีกอย่างที่ไม่ได้ล้มเลิกในส่วนของการท่องเที่ยวในทริปนี้ เพราะต้องการจะส่งสารไปว่า อยากให้มาเที่ยวจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติกันเยอะๆ เพราะหลังจากการฟื้นฟูของอาสาสมัครและหน่วยงานรัฐแล้ว เศรษฐกิจในพื้นที่ก็ต้องการเงินจากการท่องเที่ยวมาหมุนเวียนเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้ก้าวต่อไปเช่นกัน ประมาณบ่ายสี่กว่าๆผมออกจากตัวเมืองเชียงรายมุ่งหน้าไปทางถนนตัดใหม่ที่จะไปออกเวียงแก่น และเชียงของ
ช่วงก่อนจะถึงทางขึ้นภูหลงถังประมาณสักยี่สิบกิโลเมตร เป็นทางตรงยาวๆ และมองเห็นเทือกทิวเขาสูงใหญ่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ประกอบกับที่ฝนเพิ่งตกพาดผ่านไปแล้วนั้น ทำให้เกิดภาพวิวที่เป็นเดอะเบสต์โมเมนต์ของทริปนี้
ภูหลงถังกับทางขึ้นประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งทางลาดชันที่เรียกได้ว่าขึ้นอย่างเดียวกันยาวๆติดอันดับในประเทศไทย ถนนเป็นลาดยางสลับคอนกรีตสองเลนสวนกัน โดยรวมถือว่าถนนค่อนข้างดี ขับไม่ยาก และฝั่งที่ขึ้นทางนี้ก็แทบไม่มีโค้งพับผ้า (แต่อีกฝั่งมีประมาณสี่พับต่อกัน) ด้านบนดูแล้วน่าจะเป็นหมู่บ้านของพี่น้องชาวเขาเผ่าม้ง ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,200 เมตร ทำให้ข้างบนนี้อากาศเย็นสบายเลยทีเดียว
ออกจากภูหลงถังประมาณห้าโมงครึ่ง กดดูกูเกิลแมปแล้วตาแทบถลน เพราะมันบอกว่าจากตรงนี้ไปผาตั้งนั้นเกือบสองชั่วโมง (ระยะทางเกือบห้าสิบกิโลเมตร) ผมก็รีบเผ่นทันที จากภูหลงถังไปผาตั้ง แทบจะเป็นเส้นทางที่เลาะไปบนภูเขาตลอด ลงไปที่ลุ่มตีนเขาแล้วไต่ขึ้นไหล่เขาไปกันยาวๆ
ถึงดอยผาตั้งแล้ว ผมเช็คอินกับที่พัก (ไม่ได้จองไว้ มามั่วเอาหน้างาน) แล้วก็รีบออกมาหาอะไรกิน เพราะช่วงนี้ยังไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ และเย็นวันนี้ก็ยังมีเปิดเพียงสองร้าน หนึ่งในร้านที่แนะนำคือ “ลมเย็นสเตชั่น” อาหารอร่อย ราคาเป็นมิตร อากาศตอนนั้นเย็นจนเกือบหนาว เป็นมื้อเย็นอีกวันที่แฮปปี้มากๆเพราะได้กินอาหารยูนนานของโปรดอย่างเห็ดทอดซีอิ้วแบบเต็มอิ่ม ^^
วันนี้ผมพักที่ ดอยผาตั้ง ชิว ชิว รีสอร์ท ได้บ้านเดี่ยว เตียงเดี่ยว ที่จอดกว้างขวาง ในราคา 500 บาท บ้านไม่เก่าไม่ใหม่ แต่เจ้าของใจดีมาก (จริงๆอยากบอกให้รีโนเวทง่ายๆแค่ฉาบปูนเปลือยด้านนอกก็ดูเป็นลอฟท์ขึ้นอีกหน่อย) ในห้องไม่มีแอร์ แต่อากาศตอนนั้นเรียกได้ว่าเข้าขั้นหนาวแล้ว แค่เปิดพัดลมแล้วล็อคให้หันไปทางห้องน้ำให้อากาศหมุนเวียน แค่นั้นก็ต้องนอนห่มผ้าแล้วฮะ
จริงๆตื่นมาแล้วรอบนึงตอนประมาณหกโมงเช้า แต่ได้ยินเสียงฝนก็เลยนอนต่ออีกสักหน่อย ลุกมาอีกปีแปดโมงเช้า เสียงฝนจางไปแล้ว เปิดประตูห้องด้านวิวมาก็ต้อง อื้อหือ เพราะจริงๆแล้วตอนนี้คืออยู่ในเมฆฝนก็ว่าได้ รอบๆตัวคือละอองเมฆยิบๆ ออกไปเดินแปบๆก็ตัวเปียกได้เลย
จากถนนหลัก จะมีสามแยกเลี้ยวขึ้นผาตัดไปอีกประมาณสองกิโลเมตร เป็นทางลาดชันพอสมควร ถนนช่วงแรกพังไปนิด ผ่านช่วงแรกไปได้ก็ไปได้เรื่อยๆ ขึ้นมาแทบจะเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวของวันนั้น ผมแวะซื้อน้ำที่ร้านขายของฝากและฝากหมวกกันน็อคเอาไว้กับที่ร้าน จากนั้นก็เตรียมตัวเดินขึ้นจ้า
ดูจากสภาพอากาศแล้ว น่าจะถ่ายอะไรยาก โดรนก็หมดสิทธิ เลยตั้งใจว่าจะไปแค่ช่องเขาขาดก็พอ ระหว่างทางจะผ่านศาลาแบบเก๋งจีนที่สร้างไว้เป็นที่ระลึกให้นายพลหลี่และกองพลที่ 93 ที่ย้ายเข้ามาตั้งรกรากเพื่อร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทยที่นี่ อากาศตอนนั้นคือหนาวเลยฮะ ทั้งหนาวและชื้นจากการเดินอยู่ในเมฆฝน ถ้านับไปถึงเนิน 104 ด้วย ที่นี่ก็ถือว่าสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,570 เมตร
ผมเลือกเดินไปทางช่องเขาขาดตามความตั้งใจ ซึ่งทางเดินไปจากศาลาก็จะเริ่มเป็นดินชุ่มๆไปจนถึงดินหนังหมู ด้านขวาก็เป็นเหวเบาๆ เดินไปเสียวไป
พอถึงช่องเขาขาดสมใจ ผมก็ตัดสินใจที่จะไม่เดินไปต่อที่เนิน 101 102 104 เนื่องจากผมมาคนเดียว และ เส้นทางค่อนข้างลื่น หากพลาดล้มเจ็บหรือตกเหวเกรงจะลำบาก และที่สำคัญ วันนี้ผมจะต้องกลับให้ถึง กทม (อีกวันมีบินไปบาหลีตั้งแต่หกโมงเช้า) ดังนั้นที่เหลือก็ขอติดเอาไว้รอบหน้าก็แล้วกัน
ช็คเอาท์ประมาณเก้าโมง เมฆบางลง ขี่ลงมาจากที่พักได้นิดเดียวก็ได้จุดเก็บภาพสวยๆมาฝากกัน
จากนั้นก็รูดยาวฝ่าฝนกลับบางใหญ่ ถึงบ้านประมาณสองทุ่มสบายๆครับ
ทริปนี้ขอตัวลากันไปด้วยภาพเซ็ทนี้ แล้วพบกันใหม่ ขอบคุณครับ