GPX DZ3 กรุงเทพ - น่าน -ดอยสกาด 1,500km!
ทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆขี่ Gpx DZ3 ไปเที่ยวน่านหน้าฝน ในปี 2567 นี้
กับเส้นทาง กรุงเทพ – น่าน – ดอยสกาด รวมระยะทางไปกลับกว่า 1,500 km กัน
น่าน ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เราไปบ่อย เรียกได้ว่าไปกันทุกปี
แต่ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เรายังเที่ยวไม่ทั่วสักทีเช่นกัน
ก่อนจะเขียนกระทู้นี้ต่อไป อยากจะเชิญชวนให้เพื่อนสมาชิกแวะเวียนกันไปเที่ยวน่าน ช่วยกันไปจับจ่ายใช้สอย นำเงินไปหมุนเวียนช่วยพยุงเศรษฐกิจเมืองน่านให้ฟื้นจากอุทกภัยครั้งล่าสุด อัพเดทล่าสุดตอนนี้ที่เที่ยวในน่านทุกแห่งเที่ยวได้เป็นปกติหมดแล้ว และขาประจำน่านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า น่านในฤดูฝนนี่แหละ สวยงามลงตัวที่สุดในทุกฤดู
วันแรกของการเดินทาง กว่าจะออกจากกรุงเทพก็ปาไปบ่ายสอง ความตั้งใจแรกคือกะบิดยาวๆเรื่อยๆม้วนเดียวให้ถึงน่าน ประเมินไว้ว่าถ้ายืนพื้นสัก 120 ก็น่าจะถึงสักห้าทุ่ม…แต่ตั้งใจไว้เช่นกันว่าถ้ามืดแล้วฝนตกก็จะหาที่พักทันทีเช่นกัน
ลากยาวๆ …ไปถึงเด่นชัยประมาณสามทุ่ม ถือว่าเป็นไปตามแผน
ขี่ผ่านเด่นชัยมาได้หน่อยนึง พอถึงสูงเม่น ฝนก็เริ่มตกลงมา สุดท้ายผมตัดสินใจแวะหาที่พักแถวๆถนนเลี่ยงเมืองแพร่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อครับ ….. แวะนอนโรงแรมข้างทาง ชื่อ โรงแรมไฮเวย์ 79 คืนละ 400 บาท พอได้ซุกหัวนอน แต่ห้องสะอาด บริการก็ใช้ได้เลยครับ
ลืมลงภาพไปหลายจุดเลย ย้อนกลับไปนิดนึงกับสะพานเดชาชาติวงศ์ครับ ภาพพวกนี้ผมจะใช้โทรศัพท์จับกับขาตั้งกล้อง เลือกอัดเป็นวีดีโอ 4K แล้วค่อยมาแคปเลือกแอคชั่นเอาครับ ตรงสะพานเก่านี้สามารถเอารถไปจอดถ่ายได้นะครับ ไม่มีดราม่า ยิ่งในเวลาเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีนปากน้ำโพ นี่เป็นจุดถ่ายภาพอีกแห่งที่พลาดไม่ได้เลยครับ
มื้อเย็นประมาณกือบสองทุ่มกับร้านตามสั่งแถวๆแยกทองแสนขัน จริงๆร้านนี้เขาขายเป็นหมูกระทะนะ แต่สั่งตามสั่งได้ด้วย รถชาดถือว่าโอเคเลยครับ แถวนี้รถบรรทุกจอดกันเยอะ
วันที่สองของการเดินทาง สภาพคือฝนตกยาวๆไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืน ผมตื่นมาตามเวลาปกติ ฝนก็ยังไม่หยุดตก ทำนู่นนี่รอให้มันหยุดแล้วค่อยออก มันก็ยังไม่หยุด จนใกล้เวลาเช็คเอาท์ก็ยังไม่หยุด แต่ผมต้องไปต่อแล้วล่ะ ออกจากแพร่ประมาห้าโมงเช้า ผ่านร้องกวาง เวียงสา และเข้าสู่ตัวเมืองน่านช่วงเที่ยง ฝนก็ยังไม่หยุดตก ที่ลุ่มสองข้างทางน้ำเริ่มท่วมขัง…ใช่แล้ว วันที่ผมไปคือช่วงก่อนที่น้ำจะเข้าท่วมตัวอำเภอเมืองน่านในวันต่อมา (เย็นวันนั้นน้ำเข้าตัวเมือง)
ตั้งใจไว้ว่าวันนี้เที่ยงจะหาข้าวซอยกิน ยังไงก็ต้องได้กิน แต่ก็ไม่อยากไปร้านดัง มาเจอร้านนี้เลยลองแวะดู ร้านตบแต่งลงตัวในสไตล์ท้องถิ่น เมนูหลากหลาย ข้าวซอยไก่ที่ผมสั่ง รสชาดสามารถกลับมาซ้ำได้ แต่น้ำเงี้ยวผมคิดว่าจ๋างไปหน๊อย…หรืออาจเพราะเส้นมาม่ามันดูดความเปรี้ยวมันของน้ำเงี้ยวเข้าไปนะ
ภาพนี้ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ และในวันนั้น….เวลาประมาณห้าโมงเย็น น้ำก็ล้นตลิ่งช่วงตัวอำเภอเมืองน่าน และดันขึ้นมาจนถึงหน้าวัดภูมินทร์ ตรงจุดที่ผมยืน ระดับน้ำน่าจะประมาณหนึ่งฟุต
เสร็จจากหน้าวัดภูมินทร์ ผมก็ไปตั้งหลักที่แยกช้างเผือก เผื่อที่จะเลี้ยวขวาไปทาง รพ. และข้ามสะพานข้ามแม่น้ำน่านเพื่อที่จะไปทางตัวอำเภอสันติสุข ซึ่งฝนก็ยังตกยาวๆไป ผ่านกิ่วม่วง กว่าฝนจะหยุดก็ถึงตัวอำเภอปัวแล้ว เติมน้ำมันเต็มถังที่ ปตท.ปัว วิ่งออกจากเมืองไปทางเชียงกลางได้ไม่ไกล จะมีทางแยกเลี้ยวขวาขึ้นดอยสกาด ทางเส้นนี้สามารถใช้ กูเกิลแมป นำทางได้เลย ไม่หลงแน่นอน
ลุงหมานโฮมสเตย์….ดอยสกาด
ผมตั้งใจจะมาที่นี้เอาไว้ล่วงหน้าในแพลนของทริปนี้ แต่ก็คิดเอาไว้แบบหลวมๆว่าจะไม่จองล่วงหน้า (เพราะไปวันธรรมดา ซึ่งผมประเมินผิด) พอไปถึงและสอบถาม ปรากฎว่าที่พักเต็มแล้ว (มีทั้งหมดสี่ห้องสามหลัง) ยืนอึ้งอยู่แปบหนึ่งว่าจะไปดูที่ไหนต่อ ผู้ดูแลที่พักมาแจ้งอีกครั้งว่า คนที่จองไว้ยกเลิกเพราะเห็นข่าวน้ำท่วมเลยไม่อยากเสี่ยงขึ้นมา…โอกาสกลายเป็นของผม ผมขอไปดูห้องเพื่อเลือก ตัดสินใจเลือกได้แล้วผมจึงต่อรองราคา จากคืนละสองพันบาท ได้ลดเหลือหนึ่งพันแปดร้อยบาท ราคานี้รวมอาหารเย็นและอาหารเช้าแบบอร่อยอิ่มจุก ราคานี้อาจแรงสำหรับบางคน แต่ทั้งหมดแล้วทั้งคุณภาพที่พัก วิว บรรยากาศ บริการต่างๆ ผมบอกเลยว่าทอนกระจายและผมจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน
บรรยากาศห้องพักและวิวของหมู่บ้านที่ถูกเมฆโอบล้อมในฤดูฝน ทำให้หลายๆอย่างของที่นี่พิเศษและแตกต่างจากหลายที่ในประเทศไทย มันคือบรรยากาศของป่าเมฆบนเทือกเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่าพันเมตร ดอยสกาดจึงมีอากาศโดยเฉลี่ยเย็นสบายตลอดทั้งปี และหนาวจัด(แบบไทย)ในฤดูหนาว ในตำบลสกาดมีทั้งหมดสี่หมู่บ้าน เจ็ดร้อยหลังคาเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีเชื้อสายลัวะ และมีคนเมืองพื้นราบขึ้นมาอยู่อาศัยทำกินปะปนบ้างจำนวนหนึ่ง ที่นี่นายทุนยังรุกคืบเข้ามาได้ไม่มาก โฮมสเตย์ของชาวบ้านจึงยังมีกลิ่นไอของท้องถิ่น และมีสถาปัตยกรรมที่สบายตา ไม่ปลอมและประดิษฐ์จนเอียน เป็นที่ๆเหมาะกับการรีบูสต์ด้วยประการทั้งพวง
อาหารเย็นแบบจัดเต็ม จะเสิร์ฟมาในถาดแบบชุดขันโตก รสชาดและปริมาณ 10/10 คะแนน
มื้อเย็นกับลมฝนที่พัดโชยรอบตัว…ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายค่อยๆถูกสิ่งแวดล้อมนี้บำบัด และความรู้สึกนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ได้อยู่กลางธรรมชาติบนเทือกเขาสูงเช่นนี้
เมื่อความมืดมาเยือน จากอากาศที่เย็นชุ่มฉ่ำ กลายเป็นอุณหภูมิที่ค่อยๆลดลง จากที่เปิดประตูหน้าต่าง กลายเป็นไล่ปิดทุกบาน แอร์ไม่ต้องถามหา แค่ไม่เปิดพัดลมยังรู้สึกว่า…ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้มั้ง(เดี๋ยวไม่สบาย อิอิ) คืนนั้น จิตสั่งกายให้นอนไวกว่าปกติ ผมตัดสินใจพักผ่อนตั้งแต่สามทุ่มไปพร้อมกับสายฝนที่ยังโปรยปรายไม่หยุดหย่อน
วันที่สามของการเดินทาง….เช้านี้ตื่นมาตั้งไทม์แลปส์ไว้แล้วก็ไปนอนต่ออีกงีบ ตื่นมาอีกทีก็สว่างหน่อยแล้ว นั่งเฉื่อยๆรอมื้อเช้ามาส่งกับอากาศแบบที่ผมพูดในคลิปว่า ถ้าสวรรค์มันบรรยากาศประมาณนี้ มันก็น่าไปอยู่นะ
บรรยากาศรอบๆประหนึ่งไซเรนท์ฮิลล์ เมฆวิ่งตามลมมาชนตลอด อยากให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวจริงๆครับ
แจ้งกับที่พักไว้แล้วว่าจะขออยู่เสพสุขจนถึงเวลาเช็คเอาท์(งกแหละ) สรุปว่าแช่ยันตะวันตรงหัว เก็บของเสร็จก็มาเฉื่อยต่อที่จักษ์กะพัฒน์ที่อยู่ข้างกัน โดนพลังงานความชิลที่นี่ดูดเวลาไปอีกประมาณสองชั่วโมง กาแฟก็ดี ดนตรีก็ตรงจริต โดยรวมแล้ว…จะกลับมาซ้ำครับ
ก่อนกลับก็วนขึ้นภูคาไปจุดชมวิว1715 แล้วลงไปกินเตี๋ยวร้านประจำที่บ่อเกลือ แวะไปเก็บภาพมุมสวยของถนนเล็กๆใกล้น้ำมาง แวะไปจุดชมวิว แวะไปถนนเลขสามเก็บภาพมุมมหาชนเป็นอันเสร็จพิธี แวะเข้าไปนอนในตัวเมืองน่านอีกหนึ่งคืนแล้วก็ขี่กลับบ้านในวันต่อมา กระทู้นี้ก็ขอปิดตรงนี้ด้วยประการเช่นนี้…เอวัง
แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ