ทดสอบตะลุยเหนือด้วย Scooter อรรถประโยชน์ Aprilia SR GT 200

แชร์บน

ทดสอบตะลุยเหนือด้วย Scooter อรรถประโยชน์ Aprilia SR GT 200

สวัสดีครับ

ห่างหายกันไปนาน แต่พยายามไม่หายไปนานเกินแกง ยังสิงอยู่ห้องนี้และรอวันที่จะได้เขียนรีวิวเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย

มาคราวนี้ ผมมากับรถ Scooter ที่มีความพิเศษเฉพาะตัวระดับหนึ่ง และจากความน่าสนใจของมัน ผมเลยเลือกเป็นอาชาศึก กับทริปเหนือยาวๆ สองอาทิตย์เพื่อจะได้รู้จักมักจี่กัน

นั่นคือ Aprilia SR GT 200 ที่เค้าเคลมว่า เป็น Everyday Everywhere Scooter

เอาหล่ะ เดินทางกันเลยยยยย!!!

มิติ ดีไซน์

มาทำความรู้จักรูปลักษณ์ภายนอกเจ้า Aprilia SR GT 200 แบบคร่าวๆ กันนิดนึง ( เอาแบบไม่เยอะ ตามสไตล์เรา ) มันเป็น Scooter ที่มาในสไตล์ Adventure สูงโย่งหน่อย มีช่วงยุบโช๊คเยอะๆ รถสูงๆ หน่อย

ดีไซน์ไฟหน้าสไตล์ Aprilia ชัดเจน มาพร้อมกับชิลด์หน้าที่มีความสูงระดับพอดีๆ เลยในการเดินทางไกล

ช่วยท้ายออกแบบมาได้ลงตัวและค่อนข้างโดดเด่นไม่เกรงใจครายเลย กับไฟท้าย LED ที่ดูสวยงาม
ผสานกับกันดีดที่ดูลงตัวเพิ่มความสวยงามไม่ซ้ำซาก

เรือนไมล์อย่างที่เห็น ตามความเห็นนับเป็นเรือนไมล์ที่แสดงข้อมูลอ่านได้ง่ายและชัดเจนที่สุด ( ในเวลากลางคืน )  รุ่นหนึ่งเท่าที่เคยขี่รถมา     

แผงคอดูดีมีชาติตระกูล

เอาหล่ะ ทำความรู้จักตัวรถมานิดนึง เดี๋ยวเรามาค่อยๆ ทำความรู้จักกันต่อในระหว่างการเดินทางขึ้นเหนือกัน มาดูการบรรทุกของก่อน

ความดีงามของรถ Scooter อย่างที่รู้ๆ กัน เรื่องความจุใต้เบาะที่ค่อนข้างเยอะ แอบเสียดายนิดหน่อยที่ใส่หมวกกันน๊อคเต็มใบได้ใบเดียว ( ด้านหน้า )
ส่วนด้านหลังเก็บได้เพียงหมวกเปิดคางว่าแล้วก็ยัดสัมภาระบางส่วนเข้าไปใต้เบาะกันเลยยยยย

สำหรับสัมภาระที่ต้องใช้ชีวิตประมาณสองอาทิตย์ ของสองคน รวมๆ แล้วประมาณ 150 กิโลกรัมรวมน้ำหนักคนด้วย

เอาหล่ะ ออกเดินทางกัน : กทม – เชียงใหม่ ลุย

ออกจาก กทม ช่วงกลางคืนแล้วเดินทางมาพักกลางทางที่ กำแพงเพชร สภาพก่อนออกช่วงวันหยุดยาว รถติดหนัก ทำให้เรามีโอกาสได้เก็บฟีลลิ่งการขับขี่ในเมืองกรุง และการใช้งานในเมืองระดับนึง

ยอมรับว่า ตอนแรกแอบติดปัญหาเรื่องความสูงของรถอยู่หน่อยนึงเหมือนกัน พอรถมันสูง ต้องเขย่งขา ก็ทำให้แอบไม่มั่นใจนิดนึง แต่แค่จังหวะแรกเท่านั้นพอชินก็เริ่มปรับตัวได้

และต้องบอกว่า สัมผัสแรกๆ มันอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า พริ้วอย่างรถค่ายญี่ปุ่น แต่นั่นก็คือจังหวะแรกที่ได้สัมผัสเช่นกัน ใช้เวลาสักพักก็เริ่มชินแล้วก็รู้สึกว่า เออ มันก็พริ้วใช้ได้เหมือนกันแฮะ

พอมาวิ่งทางไกล เจ้า Aprilia SR GT 200 ก็สร้างความประทับใจอีกครั้ง!!!  

มันวิ่งยืนพื้น 120กม/ชม บนถนนสายเอเซีย ตามไมล์ตัวเองและไมล์รถใหญ่ได้ซะงั้น
ในกลุ่มเรามีรถใหญ่ 500-800cc ด้วย เราก็เลยเดินทางกันด้วยความเร็ว 110-120 กม/ชมนี่แหล่ะ บางจังหวะไหลๆ ตามลมหน่อยก็ยืนพื้น 120 บางจังหวะลมต้านหน่อยก็ตกมา 110

ถ้าคิดถึงเรื่อง CC 174cc คือถือว่ามันทำได้ดีมากๆ เลย ซึ่งรถคู่เปรียบอีกคันนึง ทรงเดียวกัน การบรรทุกขนาดนี้ มันลากได้แค่ 110 ก็ไม่ขึ้นแล้ว

ถือว่ากำลังในรอบปลายของ Aprilia SR GT 200 นั้นมาดีกว่าชัดเจน

ด้วยความเร็วยืนพื้น 120km ไม่นานก็พาเรามาถึง อ. เชียงดาว ได้แบบไม่ค่อยเหนื่อยเลยนะ

เดินทางกันไกลๆ บางทีโทรศัพท์พาลจะแบตหมดเอา ชาร์จตรงนี้ได้นาจา

แวะกินกาแฟ ชมดอยหลวงเชียงดาวสักหน่อย  เป็นรถอีกคันที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า มันเดินทางไกลได้ดีกว่าสิ่งที่เห็นภายนอกมาก

แวะถ่ายรูปทางเข้าถ้ำเชียงดาวสักนิด แต่คนเยอะมาก หาจังหวะถ่ายยากมาก

ป.ล. พี่ถุงทอง ( ชื่อของเค้า ซึ่งเป็นรถส่วนตัวของพี่โอม ) คันเหลืองช่วงล่าง YSS ทั้ง SET
เกาะถนนหนึบกว่าคันที่ผมขี่ แต่แลกมาด้วยความกระด้างเพิ่มขึ้นหน่อยนึง

เอาหล่ะ ทดสอบการเดินทางแบบ Touring ทางราบแล้ว
คราวนี้ทดสอบ ทางโค้งการและการขึ้น-ลงเขาดูบ้าง ว่าฟีลลิ่งการขับขี่จะเป็นอย่างไร

จากเชียงดาว เราจะเดินทางต่อไปอ่างขาง ไต่ความชันของดอยอ่างขางขึ้นมาเรื่อยๆ
โดยใช้เส้นทาง เชียงดาว – บ้านอรุโณทัย-อ่างขาง

เราแวะหาไรกินที่โรงเตี้ยมถ้ำง้อบ อดีตค่ายทหารก๊กหมิ้งตั้ง กันหน่อย
https://goo.gl/maps/yErzaMLJiu8tsTki9

บรรยากาศภายในโรงเตี้ยม
ขาหมู หมั่นโถ กับ อากาศเย็นๆ ฟินสิฮะ
ป.ล. รสชาติอาจจะกลางๆ ไม่ได้ดีเลิศแถมราคาแรงเอาเรื่องพอตัว
แต่แลกมาด้วยบรรยากาศ ก็ถือว่า สมน้ำสมเนื้ออยู่

ในที่สุดเราก็พาเจ้า Aprilia SR GT 200 ไต่ขึ้นมาถึงดอยอ่างขางจนได้
เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องเครื่องยนต์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วทั้งการขับขี่แบบ Touring และโค้งและขุนเขา

เราพักกันที่ลานกางเต้นท์ม่อนสน

เช้าวันต่อมา ก็ขี่รถเที่ยวไร่สตรอเบอร์รี่ พญาเสือโคร่งเริ่มบานนิดๆ แล้วนะ

เอาหล่ะ ขับขี่มาระดับนึงแล้ว พอจะจับสัมผัสได้แล้วหล่ะ ว่าอะไรเป็นอะไร พักนี้ ไม่ได้ขี่รถเยอะเหมือนเมื่อก่อน การจะบอกได้ว่าฟีลลิ่งรถเป็นอย่างไรต้องใช้เวลาอยู่กับมันสักพักเลยและทัศนะที่มีต่อตัวรถก็อาจจะไม่ได้ Professional มากนักเหมือนนักรีวิวรถมืออาชีพ ผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนเด้อ

ช่วงล่าง

ด้วยน้ำหนักการบรรทุกที่ว่า เรา Set Preload ของโช๊คหลังไว้ที่ระดับที่ 4 และเราจะมาทดสอบชุดช่วงล่างหน้าหลังจาก SHOWA ชุดนี้กัน ว่าผลมันจะออกมาเช่นไร ผลลัพธ์คือ ตัวรถให้การตอบสนองการซับแรงในระดับที่ไม่น่าเชื่อว่านี่คือช่วงล่างของรถ Automatic ถ้าเอาผ้ามาปิดตาไว้แล้วให้ทาย ผมนึกว่าขี่รถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กแบบมีเกียร์ที่มีช่วงล่างหลังแบบสวิงอาร์มโช๊คอัพเดี่ยวอยู่ด้วยซ้ำ ไม่ว่าในแง่การยึดเกาะถนนหรือการซับแรงมันให้ฟีลลิ่งการตอบสนองคล้ายๆ แบบนั้นเลย ซึ่งผมไม่เคยรู้สึกกับรถ Automatic คันไหนแบบนี้ มันคือ The best เท่าที่เคยขี่รถ Scooter มาเลยฮะ

ช่วงล่างหน้ารูปลักษณ์ออกแนวสูงๆโย่งๆ มีช่วงยุบเยอะตามสไตล์ ADV ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีอีกเช่นกันไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการซับแรง
หรือการยึดเกาะ มีเพียงช่วงล่างหน้าของค่าย H ADV 350 ที่เป็น Up side down เท่านั้นที่ผมรู้สึกดีกว่านิดหน่อย

ยางติดรถ Michelin Anakee หน้าตาดุดัน ไม่เกรงใจคราย ทำงานได้ดีทั้ง On road และ Light Off Road บนทางดำ มันให้ความรู้สึกยึดเกาะไม่ขาดตกบกพร่องเลย ลองเข้าโค้งตรงทางลงขุนตาลที่ความเร็ว 110-120 มันยังให้ความมั่นใจ ไม่รู้สึกว่าจะลื่นแต่อย่างใด

บนทางดินเล็กๆ มันให้แรงยึดเกาะได้ดีกว่ายางใช้งานทั่วๆไป จากรูปแบบดอกยางที่ให้มา

นี่คือยางติดรถที่ดีงามคู่นึงเลยทีเดียว และมันเหมาะกับรถมากๆ มันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Concept Everyday Everywhere เป็นจริง

โดยสรุป โดยรวมๆ จากองค์ประกอบที่เหลามาทั้งหมด ผมให้ชุดช่วงล่างของ Aprilia SR GT 200 เป็นชุดช่วงล่างที่ดีที่สุดเท่าที่เคยขี่รถ Scooter มา เฉือน ADV 350 ไปเพียงเล็กน้อย แต่ 2 คันนี้มีชุดช่วงล่างที่ผมชอบมาก เรียกได้ว่า มาไกลจาก Scooter คันอื่นพอสมควรเลย

ระบบเบรก

มาแบบดูดีด้วยจาน Wave Disc พร้อมสายถัก พร้อม ABS หน้า แต่หลังไม่มี น่าจะกะว่าให้กำให้ล้อล็อคเล่น Action ได้ ฟีลลิ่งการเบรกออกแนว แข็งๆไปหน่อย แต่แรงจับเบรกคือ ค่อนข้างดีเลยหล่ะสำหรับด้านหน้า ระบบ ABS ก็ทำงานได้ค่อนข้างเนียนดี ไม่ค่อยสะท้านมือเลย โดยส่วนตัวระบบเบรกชุดนี้ ดีพอ ถ้าได้มือเบรกแต่งมาช่วยผ่อนแรงเบรกและเพิ่ม Feeling การกดเบรก ผมว่าน่าจะจบเลย

เครื่องยนต์

มาในเรื่องเครื่องยนต์กันบ้าง ต้องบอกว่า ในเรื่องเครื่องยนต์มีทั้งส่วนที่ผิดหวังและส่วนที่ว๊าวเอาส่วนที่ผิดหวังกันก่อน นั่นคือ cc ไม่เต็ม 200cc ให้มาแค่ 174 cc เท่านั้นส่วนความว๊าวคือ 174 cc ที่ว่านั้น เป็นเครื่อง i-get ใหม่แกะกล่องจาก Piaggio ซึ่งคุณภาพคับแก้วจริงๆมันเป็นเครื่องสูบเดียว SOHC 4 วาล์ว หม้อน้ำ ที่คง Character เครื่องยนต์จากค่าย Piaggio ไว้พอสมควรถ้าใครเคยขี่ Vespa เครื่อง i-get คงจะเข้าใจได้ดี กับเครื่องสไตล์นุ่มๆ เงียบๆ ไหลๆ

สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของเครื่องตัวนี้คือ ความนุ่ม ความสมูธ ความเงียบ และความไหลปลายลักษณะการส่งกำลังของเครื่องยนต์มาแบบ รินมาเรื่อยๆ ต้นกลาง ปลายแรงต้น กลาง ถ้าจากความรู้สึกเหมือนมีน้อย แต่จริงๆ มันมีนะ อาจจะเพราะเครื่องมันนิ่มๆ เงียบๆ เลยรู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีกำลังเอาเป็นว่า มันแบกน้ำหนักบรรทุก 150 กก ขึ้นอ่างขางได้ ถ้าใครเคยเอารถ Automatic ไม่เกิน 160cc ขึ้นดอยอ่างขาง น่าจะพอเห็นภาพว่ามันหมิ่นเหม่ที่จะขึ้นไม่ไหวขนาดไหน

ส่วนแรงปลายนั้น น่าทึ่งที่มันสามารถยืนพื้นความเร็วเดินทางที่ 120 บนถนนสายเอเซียได้ ทั้งๆ ที่รถก็บรรทุกหนักและถ้าขึ้นไปแตะ 120km/h เมื่อไร ย่านกำลังช่วงนั้นมันช่วยรักษาความเร็วให้ไม่ตกได้ดีเยี่ยม แถมนุ่ม เงียบอีกตะหากถ้ารับอัตราการกินน้ำมัน 20-22 โลลิตรได้ ตามเรือนไมล์ได้ก็จัดไป

อัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ข้อมือเลย มือหนักก็ 22 กิโลลิตร มือเบาก็ 45-50 กิโลลิตร แต่โดยเฉลี่ย ขับขี่ทั่วๆไปหลายๆ ถัง ผมทำได้แถวๆ 35 กิโลลิตร ถ้าจัดหนักแช่ Top speed ยาวๆ มีผ่อนบ้างตามแยก จะตกแถวๆ 23-25 โลลิตร กับการแบกน้ำหนัก 150kg ซึ่งก็ถือว่า ประหยัดใช้ได้ อ้อ อีกประเด็นนึงคือ เครื่องยนต์ลูกนี้มาพร้อมกับระบบ Start – Stop System ด้วยนะซึ่งก็ใช้งานได้ดีเลยหล่ะ

ผมสรุปภาพให้ ตามที่ผมรู้สึกและข้อมูลที่จำได้โดยประมาณ และเอารถที่เคยขับขี่ใน CC ประมาณนี้ ( เอาจริงๆ Exciter ไม่ได้เกี่ยว แต่พอดีเป็นรถที่ผมใช้งานอยู่และมี CC ใกล้เคียงกัน จึงขอเอามาเปรียบเทียบให้ดู )

จากข้อมูลด้านบน สิ่งที่ผมมักให้ความสำคัญคือ ข้อมูลตัวสีแดง ดังนั้น เครื่องยนต์ของ Aprilia SR GT 200 จึงได้ใจผมไปโดยปริยาย ผมล่ะชอบมากๆ เลย
เครื่องยนต์ที่มี Character แบบนี้ถ้าให้ตีรางวัล Engine Of The Year ปี 2022 เอาเฉพาะที่เคยสัมผัส ผมให้เครื่องลูกนี้เลย

จากอัตราการกินน้ำมันบ้านบน มาดูตรงส่วนการเติมน้ำมันกันหน่อยอันนี้เป็นจุดหนึ่งที่ผมชอบมากเกี่ยวกับรถคันนี้ จุดเติมน้ำมันอยู่สูง Access ได้ง่ายจากที่นั่งหรือการยืนข้างๆรถนึกถึงรถบางคันที่ต้องก้มลงไปพยายามเปิดผาถังให้พนักงานปั๊มเติมน้ำมันอย่างแสนลำบากแล้วตำแหน่งการเติมน้ำมันของเจ้า Aprilia SR GT200 มันดีงามจริงๆ ถึงแม้ถังน้ำมันพลาสติกจะทำให้หัวจ่ายปั๊มไม่ตัดแล้วน้ำมันล้นบ่อยๆไปนิดก็เถอะ หุหุ

จากอ่างขาง ออกเดินทาง สู่เวียงแหงกันต่อถนนสู่เวียงแหงบอกเลย ว่า หลุมบ่อ พอตัว แต่นั่นแหล่ะ ที่ต้องการ เพราะเราอยากจะทดสอบว่าเจ้า Aprilia SR GT 200 จะรับมือแล้วให้ความรู้สึกอย่างไรบ้าง ผลคือ ช่วงล่างของ SR GT 200 ซับแรงหลุมบ่อ ถนนไม่เรียบได้ค่อนข้างดี เกือบจะเทียบเท่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ใช่ automatic เลย ซึ่งตามปกติช่วงล่างหลังของรถ Automatic จะให้ฟีลแข็งๆ หน่อยเพราะโช๊คหลังต้องแบกน้ำหนักเครื่องยนต์ด้วยยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวเลย

พาไปลองขึ้นทางชัน ทางเถื่อนด้วยนิดหน่อย อย่างที่บอก เครื่องมันนิ่มนวลจนเหมือนไม่มีแรง แต่จริงๆ มันมีแรงดึง ทางชันๆ มันก็ไต่ขึ้นไปได้เรื่อยๆ แม้จะแบก Load 150 กิโลกรัมก็เถอะ

ณ จุดนี้บอกตรงๆ ว่า ผมเริ่มชอบ Aprilia SR GT 200 เสียแล้วหล่ะ

สรีระศาสตร์

มาถึงเรื่องสรีระศาสตร์กันบ้าง โดยรวมๆ เบาะค่อนข้างสูง ผมสูง 177ซม ก็ยังมีแอบต้องเขย่งนิดนึงเหมือนกันตำแหน่งแฮนด์อยู่ในระดับที่พอดีๆ ส่งผลถึงการบังคับควบคุมที่ดีและไม่ติดขัดตัวเบาะนั่งถือว่าให้ความสบายอยู่ในเกณฑ์ที่ดีด้วยวัสดุที่ให้ความรู้สึกว่า ไม่นุ่มเกินหรือไม่แข็งเกินไม่ว่าจะใช้งานทางใกล้ หรือ ทางไกล ให้ความสบายในระดับที่เรียกว่า ดีถึงดีมาก

ท่านั่งการขับขี่ในท่าปกติ ซึ่งเป็นท่าที่ใช้งานทั่วๆไปและเหมาะกับการควบคุมรถ แต่ตัวรถยัง Support ท่านั่งแบบยืดขาในสไตล์ Big Scooter เพิ่มความสบายในการขับขี่ทางไกล

สำหรับท่านั่งคนซ้อนคือ เจ้า Aprilia SR GT 200 ทำได้ดีสำหรับคนซ้อนสายขาสั้นที่จะลำบากมาก(มาย) กับรถ Big Sccoter ในท้องตลาดที่ระยะระหว่างเบาะกับพักเท้าไกลกันมากจนเป็นความนั่งไม่สบาย ซึ่งคนซ้อนของผมบ่นเสมอเลยเวลานั่ง BSC 300cc ขึ้นไปแต่กับเจ้า SR GT 200 ไม่ประสบพบปัญหานั้นเลย จนคนซ้อนผมบอกว่า นี่คือรถ Scooter ที่นั่งทางไกลสบายมากอีกรุ่นนึง (ขออภัยในความไม่สุภาพของรูปภาพ)

โดยรวมๆ ทั้งหมดที่เล่ามา ผมยกให้ Aprilia SR GT 200 เป็นรถที่ครบเครื่องในแง่สรีระศาสตร์มากๆถูกจริตผมทั้งคนขี่ คนซ้อน

แวะไปเที่ยว “ฮาดู่บิ” ที่กำลังเริ่มดังในช่วงนี้ แต่น่าเสียดายที่เราไปสายๆ แล้ว เมฆหมอกก็ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร

การขับขี่และการควบคุม

จากการเล่าที่ผ่านมา ทั้งเรื่องช่วงล่าง เบรก สรีระศาสตร์ รวบยอดมาถึงเรื่องสุดท้ายคือ ภาพรวมการขับขี่ความพิเศษของรถคันนี้คือ ความรู้สึกในการขับขี่และการควบคุมที่ให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์มีเกียร์ขนาดเล็กซึ่งนั่นคือความดีงามที่ไม่ค่อยเจอในรถ Scooter

ต้องอธิบายสั้นๆ คือ รถ Scooter เครื่องวางบน Swingarm หลังมีข้อด้อยในการซับแรงและความอิสระในการยุบและคืนตัวของช่วงล่างหลังรวมถึงการวางน้ำหนักโดยรวมของตัวรถที่ค่อนข้างหนักไปด้านหลังแต่รถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปที่เครื่องวางด้านหน้ามีการกระจายน้ำหนักมาตรงกลางได้มากกว่า การควบคุมจะดีกว่า และโช๊คหลังที่ไม่ได้แบกน้ำหนักเครื่องยนต์เหมือนรถ Automatic ทำให้ฟีลลิ่งการตอบสนองดีกว่ามาก

แต่เจ้า Aprilia SR GT 200 ทั้งๆ ที่เป็นรถ Sccoter แต่กลับให้ความรู้สึกการขับขี่ควบคุมที่ละม้ายคล้ายรถมอเตอร์ไซค์ ได้แบบน่าประหลาด คงต้องยกให้การ Design ของ Aprilia ที่วางการกระจายน้ำหนักของตัวรถได้อย่างชาญฉลาดรวมถึงการ Set up ช่วงล่างที่ดีงามลงตัว ทำให้ตัวรถข้ามผ่านการควบคุมในแบบรถ Scooter มาได้การได้ขี่รถที่มีความอรรถประโยชน์ในการใช้สอยแบบ Scooter แต่การควบคุมแบบรถมอเตอร์ไซค์ มันเป็นอะไรที่ดีงามในความรู้สึกของผม

การควบคุมที่ความเร็วต่ำๆ การพลิกพริ้วกับช่วงล่างที่สูงโย่ง อาจจะไม่พริ้วเท่าคู่เปรียบค่าย H หรือรถญี่ปุ่น แต่เมื่อเพิ่มความเร็วสูงขึ้น ความเสถียรและนิ่งของช่วงล่างชุดนี้เริ่มเฉิดฉายเหนือกว่าคู่เปรียบคันอื่นๆนับเป็นรถที่เข้าโค้งที่ความเร็วระดับกลางถึงสูงได้มั่นใจมากๆ

จุดติงเพียงจุดเดียวเท่าที่พอจะจับได้คือ ฟีลลิ่งการเบรกอาจจะแข็งๆไปบ้าง แม้แรงเบรกจะพอเพียงก็เถอะโดยสรุปคือ The best in class ในด้านการฟีลลิ่ง การควบคุมและการซับแรงที่ความเร็วปานกลางถึงสูงคือที่สุดเบรกดีแต่ต้องออกแรงหน่อยนึง

เอาหล่ะ ถึงเวลาบอกลา เวียงแหง เมืองลับแลแห่งเชียงใหม่เพื่อกลับบ้านกันแล้วเจอกันใหม่ในอีกหลายๆปีข้างหน้าแล้วก็ยิงยาวกลับ กทม กันเลยจ้าเป็นอันจบทริปยาวๆ ( จริงๆ ที่ยาวเพราะพักเวียงแหงหลายวัน แฮ่ๆ )

บทสรุป : มาดูบทสรุปของเจ้า Aprilia SR GT 200 กัน

ข้อดี

+ ตัวรถตอบสนองเส้นทางได้หลากหลาย
+ Best Suspension in class
+ Best mid/high speed control in class
+ Feeling ช่วงล่างคล้ายมอเตอร์ไซค์
+ เครื่องยนต์นุ่ม เงียบ เรียบ เนียน
+ แรงบิดพอเพียงทั้งช่วงต้น กลาง ปลาย
+ ปลายไหลกว่ารถคลาส 150-160 cc
+ ขับขี่สบายทั้งคนขี่และคนซ้อน
+ การวางอุปกรณ์ต่างๆ ได้ถูกที่ถูกจุด
+ แผงเรือนไมล์ที่แสดงข้อมูลได้ครบถ้วนและเข้าใจได้ง่ายมาก
+ ระบบเบรก ABS หน้าที่ทำงานได้เนียนและสายถัก
+ ไฟหน้าสว่างเว่อร์ ไฟรถยนต์ป่ะเนี่ย
+ เบรกสายถัก ส่งแรงเบรกได้ดี

ข้อสังเกตุ

– cc ไม่เต็ม 200 ( 174cc )
– ฟีลลิ่งเบรกที่อาจจะแข็งๆไปสักนิด
– ความสูงของเบาะ
– กุญแจไม่ใช่ Keyless แบบคู่เปรียบ ( แต่ก็เป็นกุญแจแบบ immobilizer นะ )
– เรือนไมล์อ่านยากในเวลากลางวัน
– ที่เก็บของใต้เบาะไม่สามารถใส่หมวกกันน๊อคเต็มใบได้สองใบ
– ราคา ( หากนำไปเปรียบกับคู่เปรียบ )

 

ถ้าให้สรุปสั้นๆ Aprilia SR GT 200 คือ รถที่ตอบสนองการใช้งานได้เป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะใช้งานในเมือง ทางไกล ในรูปแบบถนนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะทางดำชั้นดีหรือผุผัง หรือทางดินแบบไม่โหดมากนัก อีกทั้งขนาดของตัวรถที่ไม่ใหญ่โตไปกว่าคลาส 160แต่กำลังเครื่องในรอบปลายนั้นเหนือกว่าแบบรู้สึกได้ ในขณะที่รอบต้นและกลางก็พอไปวัดไปวาได้ พ่วงมาด้วยช่วงล่างและการควบคุมและความสบายในการขับขี่ที่โดยส่วนตัวต้องบอกว่า ดีที่สุดในคลาสทั้งหมดที่ว่ามากับราคาที่เพิ่มมา บ่องตงว่า สมน้ำสมเนื้อ นะในทัศนะส่วนตัว

ผมเองยังเกือบจะเดินเข้าศูนย์ไปถอยมาสักคันแล้ว เพราะยิ่งขี่ยิ่งหลง ( อันนี้พูดจริงไม่ได้อวย )แต่เสียดายไปโดน Cruiser เสียก่อน เลยต้องปล่อยไปก่อน แงๆ

 

ยังงัยก็ตามต้องขอบคุณ พี่โอม ที่ช่วยประสานงานให้มีโอกาสได้สัมผัส รถที่ต้องบอกว่า เป็นรถ Scooter ที่ดีที่สุดคันหนึ่งที่เคยขี่ถึงสองอาทิตย์ด้วยกัน ขอบคุณมากครัชชชช และวันนี้ ต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่โอกาสหน้าครัชชช

By : แอด เตี้ย ล่ำ ดำ แก่