Full Review Royal Alloy TG150 หนีร้อนไปนอนเขาค้อ ช่วง Low Season

แชร์บน

Full Review Royal Alloy TG150 หนีร้อนไปนอนเขาค้อ ช่วง Low Season

ในชีวิตที่ผ่านร้อนหนาวมาประมาณหนึ่ง การหลบร้อนจึงไม่ใช่เพียงเปิดแอร์แล้วแช่ไม่ไปไหน
แม้อากาศในห้องแอร์จะเย็นสบาย แต่สิ่งที่แอร์ให้ไม่ได้คือ…ความสดชื่นของธรรมชาติ
ช่วงปลายร้อนนั้น แท้จริงแล้วก็จะมีฝนมาแทรกบ้างประปรายตามปกติ
และในที่สูงนั้นอากาศก็จะเริ่มเย็นสบายอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด
ความสงบในช่วง Low Season ของสถานที่ท่องเที่ยวนั้น
เปลี่ยนให้ธรรมดาเป็นพิเศษที่เรียบง่าย

ด้วยความคุ้นชินกับเส้นทาง ผมเลือกที่จะหลบแดดครึ่งวันเช้า และเลือกออกเดินทางในช่วงครึ่งวันบ่าย กะว่าขึ้นเขาค้อตอนเย็นๆเก็บภาพวิ่งสวนแสงสีทองสวยๆของเส้นนางั่วขึ้นไปเขาค้อ…ก็หวังไว้แบบนั้น

ด้วยความที่ทุกครั้งจะออกเดินทาง หากออกช่วงเที่ยง มักจะรวบมื้อเช้ากับเที่ยงไว้ด้วยกันเป็นปกติ (ตั้งใจทำฟาสติ้ง แต่กลายเป็นอ้วนกว่าเดิมไปเฉยเลย) เลยพัฒนานิคมมานิดหน่อย เจอะร้านนี้ซ้ายมือที่ไม่เคยแวะ ต้องลองชิมสักหน่อยแล้ว

ผมเลือกพักใจในซุ้ม มันดูเป็นส่วนตัวดี การเดินทางช่วงหน้าร้อน สิ่งที่ต้องระวังคืออาการฮีทสโตรก ต่อให้เป็นนักเดินทางเชี่ยวแค่ไหน แต่อากาศที่ร้อนระอุของปีนี้นับว่าสุดเป็นสถิติ ช่วงนี้ออกไปไหน เรียกได้ว่าขี่ๆไปสักร้อยโลคือต้องพัก และเป็นการพักเพื่อให้ความระอุในร่างกายได้ระบายออกมา

หลายคนที่ไม่เคยเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์นั้น โดยเฉพาะในฤดูร้อนมันจะร้อนมาก แต่ในความเป็นจริง เมื่อสายลมผ่านมาปะทะร่างกายในความเร็วที่เหมาะสม อากาศก็ไม่ได้ร้อนมากมายอย่างที่หลายคนคิดเดา  ร่างกายจะระบายความร้อนด้วยการขับเหงื่อออกมาเรื่อยๆ และลมที่โดนตัวก็จะทำให้เหงื่อระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าทำให้ร่างกายใช้น้ำในการระบายความร้อนมากกว่าปกติ บอกเลยว่าจอดพักแต่ละครั้งนั้น ต้องหาน้ำเย็นๆดื่มเป็นลิตรไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด แต่ใช่ว่าจะซัดหนึ่งลิตรแบบยกรวดเดียวได้ ดังนั้นการจะลำเลียงน้ำเย็นหนึ่งลิตรเข้าไปในร่างกายนั้น เรียกได้ว่าใช้เวลาพอสมควร…. น้ำแข็งในแก้วที่เห็นนั้น ลุกไปเติมประมาณหกครั้ง ทุกครั้งก็เติมน้ำแล้วดูดจนหมดแล้วก็เติมน้ำแล้วกลับมานั่งเล่นดูดน้ำไปเรื่อยๆแล้วก็วนๆลูปไป

เหมือนพระพิรุณจะได้ยินตัณหาในใจ ว่ามารอบนี้อยากได้หมอกปลายฤดูร้อน พอไหลมาถึงบึงสามพันก็พลันสะดุดอย่างที่เห็น กลายเป็นว่าติดฝนอยู่กว่าชั่วโมง  (ไม่ได้เอาเสื้อกันฝนมา แล้วเป้ก็ไม่กันน้ำ) อืออออออ ผิดแผนแล้วสิ!!

กว่าฝนจะหยุด แผนเดิมที่จะขึ้นเขาค้อวันนี้เลยก็ต้องเปลี่ยน เพราะถ้ามันมืดแล้วจะวิ่งขึ้นเขาค้อทางนางั่วนั้นก็จะเจอแต่ความมืดสองข้างทาง ซึ่งจะไม่ได้มรรคผลอะไรนอกจากขึ้นไปก็ไปหาที่พัก วิวก็ไม่ได้เห็น…เปลี่ยนแผนดิ่งเขาตัวเมืองเพชรบูรณ์ วันนี้นอนในเมืองก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ก่อนจะหาที่พัก ก็ต้องเติมเสียหน่อย ทั้งคาวและหวานให้พอไม่ท้องหิวยามค่ำคืน

ตามที่บอกว่าผิดแผน ดังนั้นที่พักคืนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในแผน ว่าด้วยการด้นสดก็เลยกด booking เอาก็แล้วกัน ไถๆไปเจอที่นี่ ห้องดูใหม่ ราคาดี สอบถามแล้วก็เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงเดือน ใหม่จริงอะไรจริง สิ่งอำนวยความสะดวกดี มีที่จอดกว้างขวาง ราคาสมเหตุสมผล ที่ชอบเลยคือปลั้กไฟอย่างเพียบ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในซอยลึกไปหน่อย อยากแนะนำว่าที่นี่โอเคจริงๆในราคาคืนละประมาณ 500 บาท

มื้อเช้านั้นสำคัญ…เอาจริงๆมันก็มื้อสายสุดๆ ด้วยความที่เขาค้อเนี่ย จากตรงนี้ไปก็ไม่ถึงร้อยโล และช่วงเช้าก็ไม่รู้จะออกไปตากแดดร้อนๆไปทำไม ใช้เวลาพักผ่อนให้คุ้มค่าที่พักแล้วก็ออกไปหาอะไรง่ายๆกินก่อนลุยกันต่อ หาลายแทงร้านดัง…อืมมมมม ไม่ว้าวเท่าที่คิดไว้แหละ

อิ่มแล้วก็ถึงเวลามูฟจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ขึ้นเขาค้อ ผมเลือกขึ้นทางนางั่วเพื่อหาโค้งเล่นตามอัธยาศัย อากาศร้อนระอุ คละคล้ำไปด้วยละอองฝุ่นพอประมาณ ขี่ไปเรื่อยๆ จอดไปเรื่อยเปื่อย ช่วง Low ก็ไม่วุ่นวาน สบายตา

แวะกินมื้อเที่ยงที่ซูชิมั้ย สาขาเขาค้อ วันนี้ขอฝากพุงไว้ที่นี่สองมื้อเลยครับ

จากนั้นก็ไปเช็คอินที่พัก หนึ่งในเซฟโซนส่วนตัวที่มาพักแล้วหลายที และยิ่งช่วง low ที่พักบนเขาค้อปิดตัวไปเกินครึ่ง ไม่ต้องคิดมาก ผมดิ่งไปที่ลานกางเต็นท์บ้านเขาทันที รอบนี้ไม่ได้แบกเต็นท์มา เลยใช้บริการกระโจมมองโกลเลียดูบ้าง ราคาเอาเรื่องอยู่นะเนี่ย

ช่วงบ่ายวันนั้น บริเวณจุดชมวิวทะเลหมอกเขาค้ออากาศกำลังอุ่นๆ ถ้าฟ้าครึ้มจากเมฆความร้อนก็จะหายไปบ้าง เรานั่งทอดหุ่ยกินลมชมวิวกันนานพอสมควร จนกระทั่ง…ฝนตก โอเค สบายใจ พรุ่งนี้เช้ามีลุ้นแน่นอน พอฝนตกไปไหนลำบาก ผมก็มุดกระโจมหลับยาวไปถึงบ่ายสี่

ตื่นมาสี่โมงกว่า สไลด์ตัวเองขึ้นไปทางเพชรดำ ได้วิวกังหันลมแบบตุ่นๆจากฝุ่นที่ยังมีอยู่ไม่เบา อากาศสบายๆไม่ร้อนไม่เย็น แต่แทบไม่มีร้านไหนเปิดเลยนะแถวนี้ ก็สงบดีไปอีกแบบ มีเวลาตั้งกล้องเยอะดี

เพราะกลางคืนมันยาวนาน…มื้อเย็นมันก็ต้องหนักกว่าปกติแหละ

สมหวังดังตั้งใจ แม้หมอกจะไม่ได้มาแบบฟูๆแน่นๆ แต่อย่างน้อยก็พอได้ชื่นใจกับทะเลหมอกปลายฤดูร้อน ในช่วงที่เขาค้อเงียบเหงาเพราะ Low Season แต่ในความเงียบเหงานั้นแหละ ทำให้บางอย่างที่แห้งแล้ง คล้ายจะสดชื่นขึ้นกว่าเดิม เป็นหน้าโลว์ที่ใจไม่โลว์เลยล่ะ

มื้อเช้าเบาๆกับหมอกนุ่มๆ ใจฟูดีไม่เบาเลยล่ะ

มื้อเช้าเบาๆของที่พัก ว่าไป…มันก็เบาเกินไปหน่อย แต่ก็นอนเล่นต่อให้คุ้ม เกือบเที่ยงก็เช็คเอาท์เก็บของออกมาหาหนมจีนกินสักหน่อยนึงฮะ

อิ่มแล้วก็ไปขี่รถเล่นเก็บภาพกันต่อ ลืมบอกว่าภาพส่วนใหญ่จะแคปเอาจากวีดีโอนะฮะ คุณภาพก็จะถ่ายกับภาพนิ่งเยอะอยู่

กำลังเก็บภาพเพลินๆ พระพิรุณคงห่วงว่าจะร้อน เดี๋ยวจะไม่ไหว ใส่มาเต็มๆเป็นชั่วโมงอีกแล้ว หงอยสิครับ ขากลับ ผมเลือกกลับทางพิษณุโลกจะได้ไม่ขี่ซ้ำทางเดิม ผลคืน โดนฝนอีกชุดใหญ่ที่ทรัพย์ไพรวัลย์ นั่งหลบฝน โดนฝนสาดอยู่สองชั่วโมง ไข้แทบจับ …. เดี๋ยวๆ ตกลงนี่มันทริปฤดูร้อนจริงมั้ยอ่าาาาาาาาาาา

จากแผนเดิมว่าจะยิงกลับเลย พอติดฝนไปร่วมๆสามชั่วโมง ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนไปนอนพิษณุโลกอีก (เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นไม่ค่อยอยากขี่ตอนกลางคืนสักเท่าไร) ขอปิดทริปด้วยสิ่งกิน อัพเดทของดีพิดโลกกับ บั๊นจร้างเนื้อง at Otobar (พิซซ่าเวียดนาม เจ้าแรกเชียงคาน) ยัมมี่มากๆๆๆๆ

ต้องบอกว่า ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ถือเป็นช่วงเวลาทองคำของรถสายพานออโต้หรือสกูตเตอร์ก็ว่าได้ ทั้งยอดขายที่เบียดรถโซ่ไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งขนาดและรุ่นรวมไปถึงพิกัดเครื่องยนต์ที่หลากหลาย รวมไปถึงดีไซน์ที่มีทั้งสปอร์ตล้ำยุค คลาสสิกโมเดิรน์ หรือแม้กระทั่งคลาสสิกจ๋าๆอย่าง  Royal Alloy TG150 ที่กำลังจะเหลานี้ เอาเป็นว่าถ้าคิดจะซื้อสกูตเตอร์สักคันแล้วยังไม่ได้ฟันธงว่าจะไปสไตล์ไหนมาก่อนนี่…เลือกกันหัวจะปวด

กลับมาเหลาเรื่อง  Royal Alloy TG150 กันต่อ ต้องบอกว่าจริงๆแล้ว  Royal Alloy เป็นแบรนด์ที่เปิดตัวมาได้หลายปีแล้ว ถ้าในเมืองไทยเราจะเห็นกันมาประมาณไม่เกินห้าปี และส่วนใหญ่ก็จะเห็นกันในบูธของงานแสดงยานยนต์ขนาดใหญ่เสียมากกว่า แต่ด้วยดีไซน์ที่คลาสสิกวินเทจมาก บางอย่างต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องของช่วงเวลาและจังหวะจริงๆ ของบางอย่างออกมาผิดช่วงผิดเวลาก็ไม่มีกระแสอันใด แต่เมื่อไรที่ถึงเวลาของมัน มันก็จะเป็นไปตามที่ควรจะเป็นเช่นนั้นเอง…ใช่ ผมกำลังจะบอกว่านี่คือยุคที่มอเตอร์ไซค์คลาสสิกรีโมเดลแต่เอนจิ้นใหม่กำลังจะอยู่ในกระแสของรถทางเลือก ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ตลาดใหญ่ แต่มันไปตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคนที่มองหาไลฟ์สไตลฺ์เท่ๆ แต่ไม่ต้องขี่ไปซ่อมไปเป็นขวัญใจรถยกแบบสายคลาสสิกดั้งเดิมนั่นเอง

อันที่จริง …. RA วางแผนจะทำการตลาดในไทยมาตั้งแต่เปิดตัวแล้ว แต่อนิจจา … เจอพี่โควิดมาเบียดกันทุกตาราง แผนทุกอย่างคืนต้องเปลี่ยน ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยได้แต่เน้นส่งออกไปทางยุโรป แต่นั่นก็หมายความว่าคุณภาพก็ได้ถูกพิสูจน์จากการส่งออกไปยังประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นกัน เข้าใจตรงกันว่าจะส่งอะไรไปขายทางนู้นเนี่ย ถ้าคุณภาพไม่ได้ มันก็รอดมาได้ไม่ถึงตอนนี้หรอก เมื่อมีโอกาสพิสูจน์เอง เราจึงตั้งโจทย์การเดินทาง … ในสไตล์ดั้งเดิม ใช่ครับ ทำอย่างกับทำสไตล์อื่นงั้นแหละ อิอิ โจทย์ใช้งานในเมืองมันไม่ใช่สำหรับเรา การออกไปไกลๆประมาณหนึ่งแล้วเก็บภาพสวยๆมาฝาก เป็นความคุ้นชินที่ทำให้เรารีดเค้นอะไรหลายๆอย่างจากมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมาได้ตลอด และเส้นทางที่เลือกใช้ในข้างต้นของกระทู้นี้ ก็เรียกได้ว่าแทบจะครบทุกโจทย์ที่ต้องการ….. ลืมบอกไป ROYAL ALLOY นี่ประกอบในไทยทั้งคันนะครับ โรงงานอยู่นิคมอุตสาหกรรมแถวๆชลบุรีนี่แหละ

กลับๆๆๆๆมาเรื่องรถ แหม่ อารัมบทไกลไปหน่อย เอาเป็นว่าช่วงนี้  Royal Alloy เน้นทำตลาดในไทยอยู่สองรุ่น คือ  Royal Alloy TG150 ABS และ  Royal Alloy GP150 ที่ยอดชายนายเตี้ยล่ำได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าทั้งสองรุ่นถือเป็นรุ่นล่าสุดของ Royal Alloy ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่อัพเดทล่าสุด โดยเฉพาะใน Royal Alloy TG150 ABS ที่ได้เครื่องยนต์หนึ่งสูบ พิกัดความจุกระบอกสูบที่ 149.8 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ(ภาษาบ้านๆเรียกว่าหม้อลมก็แล้วกัน) แถมยังให้วาลว์มาถึง 4 วาล์ว  แน่นนอนว่า พศ. นี้ ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงก็ต้องอัพเกรดเปนหัวฉีดกันแทบจะหมดแล้ว และตัวนี้ได้หัวฉีดน้ำมันพร้อมกล่องควบคุมของเดลฟายมารับใช้ ให้ม้ายูโร4 มาที่ประมาณ 13 ตัวกว่าๆในรอบเครื่องยนต์ที่ 8,500รอบต่อนาที บิดกระชากลากแซงด้วยแรงบิดที่ 12 นิวตันเมตร์ที่ 6,500 ต่อนาที ตัวเลขนี้แม้จะไม่ได้แรงกระฉูดปรู๊ดปร๊าด แต่พลังสี่วาวล์ก็ช่วยให้เครื่องยนต์ตัวนี้มีรอบกลางไปหาปลายที่ขี่สบายไม่สะดุด และด้วยความที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ ก็ตัดปัญหาจุกจิกที่ต้องควรดูแลหม้อน้ำออกไปได้เลย แต่ก็ต้องแลกมากับรอบเครื่องที่ด้อยกว่าเครื่องหม้อน้ำประมาณหนึ่ง โลกนี้มันทำงานกันแบบนี้แหละ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียไปนะโยม

ต้องยอมรับว่าโดยจริตส่วนตัวที่อยู่ในวัยหลักสี่กลางๆ ที่โตมากับความคลาสสิกประมาณหนึ่ง ในสายตายาวๆ+150 ขออวยเป็นการส่วนตัวว่าดีไซน์ตัวรถออกมาได้สวยเนี๊ยบและคลาสสิกลงตัวแทบทุกกระเบียดจริงๆ ส่วนที่หลุดไปนิดๆมันก็เป็นเรื่องของฟีเจอร์ที่ใส่เทคเข้ามาให้ใช้งานได้ตามสมัยนั่นแหละฮะท่านผู้ชม ซึ่งจุดนี้ติดไว้ก่อน อ่านๆไปเดี๋ยวจะเจอเองว่าตรงไหน…แฮร่!!!

บอดี้ที่เห็น…ใช่ครับ ผมขอใช้คำว่าบอดี้ เพราะจะเรียกว่าแฟริ่งกับชุดสีที่ใช้วัตถุดิบเป็นโลหะ กล่าวคือเป็นเหล็กและอลูมิเนียมแทบจะทั้งคัน (ยกเว้นบังโคลนหน้าที่เป็นพลาสติกเอบีเอส) นั้น…มันแปร่งๆ จุดนี้มันมีข้อดีมากมาย ทั้งความรู้สึกมีคุณค่าในความเป็นคลาสสิกที่ใช้วัสดุเดียวกับดีไซน์ที่เป็นออริจินัลเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว (คือขี่บอดี้เหล็กแล้วแอบรู้สึกหล่อกว่าปกติเฉยเลย) ข้อดีที่นึกออกอีกข้อคือ…ความทนทานของชุดสีที่มันต่างจากแฟริ่งพลาสติกเป็นแน่แท้ ทั้งในเรื่องของระยะเวลาที่แฟริ่งพลาสติกจะเสื่อมถอยเร็วกว่าเหล็ก โดยเฉพาะจุดยึดและเขี้ยวประกบหรือการเข้ามุมต่างๆที่จะเสื่อมสลายไปตามกาล แต่เหล็กเนี่ยสึกยากกว่าเยอะมาก(ถ้าดูแลดี) และที่คิดออกอีกอย่างคือ เวลาจะซ่อมสี ก็ซ่อมแบบเดียวกับรถยนต์ได้เลย เคาะปะผุแบบรถยนต์ไปเลยครับพี่ เรื่องนี้ถือเป็นข้อดีในอนาคตอีกหลายสิบปีทีถึงตอนนั้นอาจจะหาอะไหล่ไม่ง่ายเหมือนตอนนี้

แต่ในดีก็ต้องมีด้อย ความเหล็ก ความโลหะ มันก็มาพร้อมกับน้ำหนักที่มากกว่าพลาสติกอย่างชัดเจน จุดนี้ก็ต้องยอมรับว่ามันมาเบียดสมรถณะของรถในส่วนของอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักอย่างแน่นอน แต่เท่าที่ลองขี่…ก็ไม่ใช่ไม่แรงนะ เรียกได้ว่าสี่วาวล์เนี่ยของจริง ฮ่าๆ

มาๆ เรามาอวย เอ้ยยยย ชมกันต่อ ชุดไฟหน้าออกแบบได้โคตะระคลาสสิก เป็นอีกจุดที่ดูแล้วเลอค่ามาแบบเพชรต๊อกกวง อะห๊าาาาา ชุดครอบโคมไฟนี่แหละโยมที่บอกว่าเป็นอลูมิเนียม และแน่นอนระบบไฟส่องสว่างด้านหน้านั้นมา LED แบบไม่ต้องกลัวเพื่อนล้อ และความสว่างในการใช้งานจริงนั้น ก็เดินทางกลางคืนได้แบบโอเคในความเร็วที่ตัวมันทำได้

มาตรวัดแสดงผลแบบ Digital TFT Full Colours พร้อมฟังค์ชั่นปรับความสว่างตามสภาพแสงแวดล้อม แสดงผลต่างๆที่ต้องการได้แบบครบๆ อันนี้คือจุดที่บอกไปว่ามีการเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาในความคลาสสิกก็คือตรงนี้แหละครับ จุดนี้แล้วแต่ความชอบเลย บางคนบอกอยากได้แบบเข็ม บางคนบอกอยากได้แบบดิจิตอล ส่วนตัวบอกตรงๆว่าชอบแบบเข็มมากกว่า แต่ใช้ๆไปก็ชินไปเองแหละโยม เพราะรถหลายๆคันที่บ้านก็แทบจะเป็นดิจิตอลหมดทุกคันละเนี่ย
อ่อ…จอทัชสกรีนด้วยนะ ตอนจะรีเซ็ททริปนี่งงไปห้าวิ กดตรงไหนหว่า พอรู้แล้วอย่างว้าวเลยฮะ
แถมยังเชื่อมต่อมือถือผ่านบลูทูธได้ด้วยนะ จะล้ำไปไหน (แต่ไม่ได้ลองแหละ อิอิ)

ชุดคอนโซลหน้าและประกับซ้ายขวาก็จะประมาณนี้ พอดูรวมๆแล้วมีสเน่ห์เหลือเกินนนน อย่างน้อยนะ…น็อตไม่เขียวแหละ ผ่านนนนนน

รูกุญแจเปิด-ปิด + ล็อกคอ พร้อมตะขอแขวนงานโลหะ…อย่างเนี้ยบ

กุญแจแบบเสียบ แถมยังพับดอกกุญแจเก็บได้แบบมีดสปริง!!! จุดนี้ให้ 12/10 อะ ชอบบบบ พับๆ กดๆ ดีดๆ เพลินเลย

ด้านหลังบังลมมีลิ้นชัก…ไม่สิ จากขนาดอยากจะเรียกว่าตู้เก็บของมากกว่า ไซส์พอๆกับตู้ยาประจำบ้านก็ว่าได้ ล็อคได้ พับปิดน้ำไม่เข้า มีช่องเก็บของย่อยเอาไว้เก็บชุดเครื่องมือติดรถ และแน่นอน ยุคนี้ต้องให้พอร์ท USB – A 2.0  ลองชาร์จแล้ว โอเคอยู้ววววเบ่บี๋

ส่วนของเล็กรูม หรือที่วางเท้าสำหรับคนขี่ กว้างขวางวางของได้เพียบ ยิ่งเป็นงานโลหะนะ เรียบหรูดูหล่อมากๆ

เบาะชิ้นเดียว ความยาวกำลังพอดีไม่ยาวมากไป ความนุ่มและเฟิร์มให้เต็มสิบไม่หัก

ใต้เบาะเปิดมา….ว้าววววว ไม่มีช่องเก็บของ เอ้ยยยย ไม่ใช่ โอเคว่านี่เป็นอีกจุดที่ยังคงความคอนเซอร์เวทีฟให้มันยังคลาสสิกเอาไว้แหละ ซึ่งจะแตกต่างจากดีไซน์ที่เป็นโมเดิร์นคลาสสิกที่จะให้ช่องอุ่นแกงมาด้วยหมดแล้ว จุดนี้ก็ต้องเข้าใจแหละว่ามันเป็นดีไซน์ แต่ถามว่าอยากได้ช่องเก็บของใต้เบาะไหม…อยากได้

โอเคๆ มาถึงจุดดีกันดีกว่า ที่แจ๋วคือให้ถังน้ำมันเชื้อเพลิงมาใหญ่เอาเรื่อง ให้ความจุน้ำมันเชื้อเพลิงในปริมาตรถึง 10.5 ลิตร สำหรับสายเดินทางไกล เรียกได้ว่า จากอัตราสิ้นเปลืองที่ประมาณ 34-35 กิโลเมตรต่อลิตร ถังนึงลากยาวๆ 300 กิโลเมตรได้สบายๆเลยแหะ

อ่อ ฝาปิดถังน้ำมันเชื้อเพลิงก็ใช้กุญแจเดียวกับกุญแจรถเปิดได้เลยนะจ๊ะ

ชุดบังโคลนท้ายงานโลหะ ไฟท้ายดีไซน์คลาสสิก มีแรคน้อยทรงซิ่งติดมาให้มัดกระเป๋าได้ด้วย โลโก้ยี่ห้อเรียบหรู ไม่มากไป ไม่น้อยเกิน บวกลบแล้ว…สวย+ลงตัว

พักเท้าคนซ้อนแบบพับเก็บได้ ตำแหน่งค่อนไปข้างหน้าตามดีไซน์ร่วมของโมเดลประมาณนี้ จุดนี้ถ้าคนซ้อนขาสั้นก็จะบ่นหน่อยๆแต่ถ้ามีอะไรให้พิงหลังก็จะบ่นน้อยลงนิดนึง

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบสปริงคู่ และจากจุดยึดแกนล้อ – จุดยึดหูโช้คอัพหน้าด้านล่าง – จุดยึดอาร์มที่อยู่ด้านหน้าโช้คอีกที การทำงานออกจากคล้ายๆไปทางกระเดื่องทดแรงยังไงก็ไม่รู้ ขี่ทีแรกรู้สึกแปลกๆ แต่พอคุ้นแล้วก็พริ้วได้ตามปกติเลย อ่อ…โช้คอัพหน้าปรับพรีโหลดสปริงได้ด้วยนะ ชอบแบบไหนใช้งานยังไงก็ลองปรับดู แต่เท่าที่ลองใช้งานยาวๆ ค่าเดิมจากโรงงานก็โอเคอยู่แล้วนะ และๆๆ ที่ดีงามคือระบบเบรค ให้ดิสก์เบรคทั้งหน้าและหลัง พร้อมๆๆ ABS ของ BOSCH มาให้ทั้งหน้าและหลังเลย!!! โอ้โห!!! จุดนี้ต้องชมเลยว่าให้สเปคมาเต็มและจัดของดีให้แบบไม่หวงเลย  โช้คอัพหลังก็ให้แบบสปริงคู่ที่ปรับพรีโหลดมาได้เช่นกัน
ยางหน้าและหลังรัดล้อแม็กซ์มาด้วยพีเรลลี่ แองเจิล สกูตเตอร์ ดอกยางรีดน้ำได้ดีมาก ลุยฝนได้แบบหายห่วง โดยรวมแล้วช่วงล่างชุดนี้ พอคุ้นแล้วเป็นอะไรที่ว้าวอีกจุดของ Royal Alloy TG150 ABS ทางตรงยาวๆนิ่งกริ๊บแบบงงๆว่ารถเหล็กที่ช่วงล่างดูสูงนี่มันนิ่งผิดคาด แล้วยิ่งได้เล่นโค้งนะ ไปลิ่วๆ ให้ฟีลลิ่งแบบ เฮ้ยยยยย มันดีย์!! ดีผิดหน้าตาเลยแหละ

โดยรวมของ Royal Alloy TG150 ABS ขอสรุปโดยสังเขปว่า “ขี่ดีผิดหน้าตา” เห็นหน้าพี่คลาสสิกวินเทจเบอร์นี้ แต่ไส้ในพี่ต้องบอกว่าใหม่หมดจรดให้ของใหม่ของดีมาเต็มระบบ ทั้งเครื่องหัวฉีดสี่วาวล์ ทั้งมาตรวัดดิจิตอล รวมไปถึงระบบเซฟตี้ดีๆอย่างชุดเบรค ABS ที่ใช้ได้ทั้งหน้าและหลังแบบไม่เขียม ทั้งยางหน้า-หลัง ก็จัดของดีกว่า oem มาให้อีกขั้น เขย่าๆรวมกันแล้วเห็นถึงความใส่ใจ เมื่อกอดคอกับความเนี้ยบของชิ้นส่วนต่างๆแล้ว ก้มดูโดยละเอียดนี่บอกเลยว่าอาจจะหลงรักได้ไม่ยาก สนนราคาเมื่อเปรียบกับออฟชั่นทั้งคันนั้น…ไม่ถูก ไม่แพง แต่ถ้าชอบความหล่อคลาสสิกแบบไม่ต้องลุ้นกินข้าวลิง ขี่ไปจอดไหนก็เป็นเป้าสายตา…ฟันธง ว่า Royal Alloy TG150 ABS คันนี้ เล่นได้เลยครับ!!!

วันนี้ก็ต้องขอตัวลาไปก่อน ขอบคุณและสวัสดีครับ

By : OmegaOhm