หนีร้อนไปนอนหนาว ตามหาทะเลหมอกฤดูร้อน บ้านอีต่อง ปิล็อก 3 วัน 2 คืน Gpx Tuscany 150

แชร์บน

หนีร้อนไปนอนหนาว ตามหาทะเลหมอกฤดูร้อน บ้านอีต่อง ปิล็อก 3 วัน 2 คืน Gpx Tuscany 150

ท่ามกลางเปลวแดดที่ระอุถึงขีดสุดกลางเดือนเมษายนของสยามประเทศ
แต่ยังมีอีกหลายแห่งที่สามารถเดินทางไปพักผ่อนได้ในอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งวัน
และเป็นที่ๆมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ถึงขั้นหนาวในฤดูฝน และเย็นยะเยือกในฤดูหนาว
และในจังหวัดที่หลายๆคนเชื่อว่าถ้าพูดถึงอุณหภูมิ จังหวัดนี้จะถูกนับว่าร้อนเป็นอันดับต้นๆเสมอ
แต่ก็ยังมีที่ บ้านอิต่อง หรือในอีกชื่อที่รู้จักกันคือ เหมืองปิล็อค ที่อยู่บนที่สูงหลายร้อยเมตรจากระดับน้ำทะเล
ที่ได้ทั้งความชื้นจากทะเลอันดามันที่อยู่ไม่ไกล ความชื้นจากอ่างเก็บน้ำของเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือเขื่อนเขาแหลม
ความชื้นจากป่าที่สมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และ ป่าตะวันตกที่ยี่งใหญ่ไพศาลอย่างทุ่งใหญ่นเรศวร
ส่งผลให้มีอากาศที่เย็นสบายตลอดปี และยังมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกในจุดเดียวกัน คือ ฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดน เนินช้างศึก
ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเกินพันเมตร ทำให้ได้ลุ้นทะเลหมอกแม้ในฤดูร้อนจัด และยังมีที่เที่ยวอื่นๆอีกมากมาย
ทั้งเหมืองเก่า น้ำตกจ๊อกกระดิ่น สะพานแขวนไม้ ช่องมิตรภาพ เขาช้างเผือก เนินกูดดอย ฯลฯ

ทริปนี้ ยังอยู่ในซีรียส์ที่เราอยากจะมาแนะนำสถานที่ๆสามารถไปหลบลมร้อน และมีอากาศเย็นสบายที่เหมาะกับการพักผ่อนได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ ถ้าใครยังไม่มีที่ไป บอกเลยว่าที่กาญจนบุรี นอกจากบ้านอีต่อง แล้ว ก็ยังมีที่เย็นสบายอีกหลายที่ เช่น ชะแล คลิตี้ ที่มีเงื่อนไขของภูมิประเทศในระดับใกล้เคียงกัน 

พร้อมแล้วก็กระโดดขึ้นเบาะซ้อนท้ายมาเลยจ้า

ช่วงนี้รถเล็กจะออกบ่อยหน่อย ได้ข่าวหลังสงกรานต์ก็จะขึ้นอีกนะ เอิ๊กๆ อยากจะบ้า
เต็มถังแล้วก็ลุยได้ เลี้ยวซ้ายเข้าไทรน้อย ไปถึงแยกก็ซ้ายอีกทีฮะ

ออกมาเจอเรือพ่วง เอ้ยยยย รถพ่วงสาม รวมหัวลากด้วยเป็นสี่ พี่ก็ใช้คุ้มเกิ๊นนน
ถึงสามแยกบางเลน ก็เลี้ยวขวา ตรงไปทางพนมทวนเรื่อยๆ ก็จะเข้าเขตกาญนะจ๊ะบุรี

แล้วเราก็มาถึงร้าน Kyoto chi cafe กาญจนบุรี คาเฟ่สไตล์มูจิ ที่มีทั้งเครื่องดื่มและขนมให้เลือกมากมาย กับบรรยากาศที่ได้อารมณ์คล้ายๆกับญี่ปุ่น ด้วยการตกแต่งสถานที่และรสชาติเครื่องดื่มและขนม เป็นอีกร้านที่ผมแวะแล้วรู้สึกแฮปปี้และอบอุ่น อีกอย่างน่าจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ที่ผู้คนยังมาใช้บริการไม่เยอะมากนัก ถ้าเป็นวันหยุด ก็น่าจะคึกคักกว่านี้พอสมควร

ผมนั่งเสพสิ่งกินและบรรยากาศ หลบไอร้อนจากเปลวแดดในเดือนเมษายนอยู่ที่นี่ได้ชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องลุกไปผจญกับไอร้อนและรังสียูวีกันต่อ จากตัวอำเภอเมืองกาญจนบุรี ไปอำเภอทองผาภูมิเพื่อแวะเติมน้ำมันให้เต็มก่อนขึ้นไปบ้านอีต่องนั้น เป็นระยะทางคร่าวๆกว่า 150 กิโลเมตร และวันนี้ผมก็ใช้เวลามากกว่าที่วางแผนไว้ไปค่อนข้างมาก ที่คิดว่าจะแวะ ก็น่าจะต้องผ่านไปก่อน ซึ่งผม ก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดแต่อย่างใด ดีเสียอีกที่ผมจะได้เก็บสถานที่เหล่านี้ไว้ ในการเดินทางครั้งต่อไป

ผมขี่ผ่านไทรโยคมาจนถึงช่องเขาขาด ที่มีจุดพักริมทางและมีร่มเงาพอให้ได้แวะจิบน้ำหลบแดดอยู่บ้าง อากาศแบบนี้ น้ำมะพร้าวเย็นๆถือว่าเป็นที่สุดแล้วล่ะ

แวะเช็ครถและทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ผมมุ่งหน้าไปต่อ ผ่านสามแยกทองผาภูมิ ข้ามสะพานที่ข้ามแม่น้ำแควน้อย ผ่านปากทางเข้าเขื่อนวชิราลงกรณ์

ผ่านถนนที่เลาะริมอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ที่ด้านขวามีทั้งเรือนแพที่พักและร้านอาหารวิวสวยๆมากมาย และด้านซ้ายก็เป็นวิวภูเขาหินปูนสูงชันแปลกตา ถนนช่วงนี้หลายช่วงก็คล้ายเป็นอุโมงค์ต้นไม้ และด้วยเวลาประมาณบ่ายสี่โมง กับสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้อากาศร้อนในช่วงที่ผ่านมาลดอุณหภูมิลง

ผ่านห้วยเขย่ง มาจนถึงสามแยกที่จะขึ้นไปยังบ้านอีต่อง ผ่านเข้ามาได้ไม่นานเราก็เข้าสู่เขตของเส้นทางที่เลี้ยวเลาะไปตามภูเขาในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ผ่านเส้นทางร่มเงาในป่าใหญ่ขึ้นมาจนถึงจุดชมวิวกิโลเมตรที่ 12 ซึ่งเป็นจุดที่ใครผ่านไปมา ก็มักจะแวะพักรถพักคนที่นี่เสมอ

น่าเสียดายที่อากาศในพื้นที่แถบนี้ยังเป็นไปด้วยฝุ่นควันเหมือนหลายๆที่ในบ้านเรา จากจุดชมวิวที่ควรจะมองลงไปแล้วเห็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อน กลับกลายเป็นวิวขุ่นมัว

ผมปลอบใจตัวเองด้วยไอติมที่คุณพี่ผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขึ้นมาขายที่นี่ประจำ ได้ไอติมรวมมิตรมาดับความโหยกระหายจนแทบจะหายเหนื่อย นั่งพักสักนิดก็ได้เวลาไปต่ออีกหน่อย แต่ก่อนออกไปผมเหลือบไปเห็นว่าที่พ่วงข้างของคุณพี่ มีสติกเกอร์ของชาวไบค์เกอร์แปะอยู่หลายดวง ด้วยความชอบและผมคิดว่ามันเข้าท่าดี ที่จะฝากเครื่องหมายของโมโตโมเมนต์ไว้กับจุดนี้

ขี่ต่อมาอีกหน่อย เราก็มาถึงบ้านอีต่อง เช็คอินกันที่นี่ในราคาคืนละ 500 (ราคาพิเศษ 2 คืน) ตอนแรกวางแผนอยากได้ห้องติดริมน้ำ แต่ไม่ได้รู้เลยว่ามาช่วงกำลังจะหยุดยาวพอดี (ผมขึ้นมาวันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2567) ซึ่งห้องริมน้ำที่อยากได้ก็ว่างแค่คืนนี้ พรุ่งนี้มีจองเข้ามาแล้ว เลยลองต่อราคาห้องไม่ริมน้ำดูว่าถ้าอยากได้สองคืนเลยลดให้เท่าไร ก็เลยได้ราคานี้พร้อมคูปองอาหารเช้าทั้งสองวันของร้านเจ๊ณีมาด้วย เรทนี้ผมถือว่าค่อนข้างดี ประหยัดเอาเงินไปกินของอร่อยให้เต็มที่ดีกว่า แฮร่!!!

หน้าตาห้องที่ได้ก็จะประมาณนี้ครับ ที่บ้างอีต่องไม่มีห้องที่มีแอร์นะครับ แต่มีพัดลมให้  เพราะไฟไม่พอ เครื่องทำน้ำอุ่นเป็นแบบแก๊ส และช่วงที่ไปเครื่องปั่นไฟเสียไปเครื่องนึง คืนแรกไฟดับตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีห้า แต่คืนที่สองดับแปบเดียวตอนสามทุ่มแล้วยาวถึงเช้าเลยครับ อากาศที่นี่แม้จะตอนกลางวัน ผมปิดหน้าต่างกระจกนอนแล้วเปิดพัดลม ก็นอนได้สบายๆไม่ร้อนไม่มีเหนื่อยครับ กลางคืนเปิดหน้าต่างกระจก(มีบานมุ้งลวดให้) เปิดพัดลมห่มผ้านอนเย็นสบายครับ ถ้าได้ห้องริมน้ำแล้วเปิดหน้าต่างนอนนี่บอกเลยว่าถึงขั้นหนาวแน่นอน

เช็คอินเสร็จแล้ว เสียงประชาสัมพันธ์ของหมู่บ้านก็ประกาศแจ้งให้นักท่องเที่ยวทราบถึงข่าวดี นั่นคือได้มีกลุ่มหมอกลอยกดต่ำลงมาปกคลุมเนินช้างศึก ซึ่งถือว่าเป็นโชคดี เพราะนับตั้งแต่ร้อนจัดมาหลายสัปดาห์ นี่ถือว่าวันแรกๆที่เริ่มมีหมอกมาให้เห็นตั้งแต่ตอนเย็น

แล้วก็ได้เวลาหามื้อเย็นกินท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายกำลังดี ผมได้โต๊ะริมน้ำตีนสะพานแขวนไม้ กับจานด่วนง่ายๆแต่เป็นเมนูโปรดอย่างข้าวหมูกระเทียมไข่ดาวไม่สุก ในราคานี่ถ้ามองว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถือว่าฮิตติดลมบนมาหลายปี แถมยังต้องเดินทางมากว่าสี่ร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพและต้องผ่านทางคดเคี้ยวกว่า 399 โค้งขึ้นมาบนนี้นั้น ผมต้องบอกต่อกับเพื่อนๆเวลาหลายๆอย่างที่นี่ราคาค่อนข้างเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ยิ่งบวกกับบรรยากาศตามที่เห็นก็คือทอนกระจายอย่างแน่นอน

หลังจากผมเข้าห้องพักผ่อนได้สักพัก ประมาณสองทุ่มกว่าๆของคืนแรก ผมก็ออกมาเดินเล่นดูบรรยากาศของคืนวันศุกร์ที่บ้านอิต่อง ที่ยังมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างจะบางตา ซึ่งถ้าเป็นวันธรรมดาของที่นี่ นับว่าเหมาะกับคนที่แสวงหาสถานที่ๆเงียบสงบ และในช่วงกลางคืนมีอากาศที่เย็นสบายแม้ในฤดูร้อน และบางเลยว่าสำหรับฤดูฝนนั้นก็ได้ทั้งความหนาวปนฝน และถ้าฤดูหนาวก็เย็นยะเยือกเหมือนอยู่บนยอดดอยในภาคเหนือเลยทีเดียว เพราะที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้อยู่สูงประมาณ700เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และยังได้ทั้งความชื้นจากทะเลอันดามัน และความชุ่มชื้นจากผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรที่อยู่ด้านบนนั่นเอง

เช้านี้ผมตื่นประมาณหกโมง แล้วก็ขี่รถขึ้นเนินช้างศึกลุ้นทะเลหมอก ซึ่งก็ได้สมใจ กับอากาศที่เย็นสบายบนความสูงประมาณพันเมตรจากระดับน้ำทะเลของเนินช้างศึก

มื้อเช้าที่ครัวเจ๊ณี เลือกอาหารได้หนึ่งอย่างจ้า (สั่งไข่กระทะเพิ่ม)

หลังมื้อเช้า ผมก็เข้าห้องไปหลับสักพัก ตื่นมาประมาณ 11 โมง หิวอีกรอบ คราวนี้เห็ดสามอย่างผัดน้ำมันหอยของครัวสุดแดนรับจบ

พอเที่ยงก็พาตัวเองออกไปนอนแช่น้ำที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ชื่นใจดีครับ

ขากลับผมก็แวะร้านขนมเค้กชาวเหมือง ที่มีเค้กส้มสูตรป้าเกล็นให้ทาน เป็นอีกอย่างที่แนะนำว่าต้องแวะมาลองกันให้ได้ รสชาติสมคำร่ำลือ ยิ่งแฟนเค้กส้มอย่างผม นี่ก็เกือบจะเบิ้ลอีกสักชิ้นไปเหมือนกัน

กลับเข้ามาที่หมู่บ้าน ผมก็พาตัวเองมาเดินเล่นที่เหมืองเก่าที่อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านกันก่อน มาเดินเล่นดูปลาคาร์ฟญี่ปุ่นตัวใหญ่ที่ในบ่อธรรมชาติ และตามหาลูกอ๊อดยักษ์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ผมก็ไม่เคยเห็นที่ไหนเช่นกัน แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน ว่าเป็นที่ๆผ่านไปผ่านมาทุกครั้งที่มา แต่ก็ไม่เคยได้แวะเข้ามาเลย

มื้อเย็น ผมพาตัวเองไปนั่งร้านประจำกับเมนูโปรดและวัตถุดิท้องถิ่นบางอย่าง ที่ร้านครัวสุดแดน ด้วยจานโปรดอย่างใบเหลียงผัดไข่ ยำผักกูด และของที่หากินได้เฉพาะแถบชายแดนตะวันตกอย่างปลาหัวยุ่งทอด รสชาติของร้านนี้ยังชวนให้แวะทุกครั้งที่มา รวมทั้งบรรยากาศยามหัวค่ำริมสระน้ำแบบนี้ เป็นอีกหนึ่งเดอะเบสต์โมเมนต์ของทริปนี้โดยแท้จริง

คืนวันเสาร์หยุดยาวแบบนี้ ที่พักในบ้านอีต่องเกือบเต็มทุกที่ สะพานแขวนไม้หลังสองทุ่มคึกคักไปด้วยกิจกรรมส่องโคมไฟ ที่เป็นซิกเนเจอร์อีกอย่างของบ้านอีต่อง และเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะได้รูปสวยแปลกไม่เหมือนที่ไหน ท่ามกลางอากาศเย็นสบายแบบนี้ เป็นอะไรที่เพลินตาเพลินใจ โคมไฟก็มีทั้งให้เช่า หรือจะซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกก็ลงตัวดีเช่นกัน

เช้าวันสุดท้ายของทริป ผมขึ้นเนินช้างศึกไปตามหาทะเลหมอกอีกครั้ง และชัดเจนว่าทริปนี้ เทพธิดาแห่งการท่องเที่ยวยืนยิ้มอยู่ข้างผม แม้ว่าหมอกที่ได้จะไม่สวยฟูอลังการ แต่สำหรับช่วงพีคสุดของฤดูร้อนแบบนี้ สิ่งที่ได้ถือเป็นโบนัสสำหรับนักเดินทางผู้แสวงหาและเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่างๆรอบตัว และแน่นอนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของการมาเยือนบ้านอีต่อง เพราะภาพจำของหมอกฝนช่วงปลายฝน และอากาศเยือกเย็นช่วงฤดูหนาว ทั้งเรียกร้องและท้าทายให้ผมเดินทางกลับมาชมการเปลี่ยนแปลงของที่นี่อีกครั้ง

ทริปนี้ขอตัวลาไปก่อน สวัสดีครับ